เครดิตภาษีสำหรับเงินปันผล (1)
สิทธิประโยชน์ประการหนึ่งของผู้มีเงินได้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนที่ได้ รับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้จากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ตามมาตรา 40(4)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร
กรุงเทพ ธุรกิจออนไลน์ : ก็คือการใช้เครดิตภาษี ตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งกรมสรรพากรได้เคยออกคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 119/2545 เรื่อง การเครดิตภาษีเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 5 พ.ย.2545 โดยยกเลิกคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.108/2544 ลงวันที่ 27 ก.ค.2544 แต่ด้วยระยะเวลาได้ล่วงเลยมานานแล้วจึงขอนำมาเป็นประเด็น ปุจฉา – วิสัชนา อีกครั้งหนึ่งดังนี้ครับ
ปุจฉา ทำไมจึงต้องมีการให้เครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร
วิสัชนา การให้เครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร อาจพิจารณาได้เป็น 2 ประการคือ
ประการที่ 1 เป็นไปเพื่อขจัดความซ้ำซ้อนในการจัดเก็บภาษีเงินได้จากกำไรสุทธิของบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังกล่าวได้เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อนำเงินกำไรหลังจากภาษีเงินได้นิติบุคคลมาจ่ายเป็นเงินปันผลให้แก่ผู้ ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนดังกล่าวต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอีก ครั้งหนึ่ง ซึ่งถือเป็นความซ้ำซ้อนทางเศรษฐกิจ (ECONOMIC DOUBLE TAXATION) รัฐๆ หนึ่งจัดเก็บภาษีเงินได้จากเงินได้ก้อนเดียวกันตั้งแต่สองครั้งขึ้นไป)
ดังนั้น เพื่อเป็นการบรรเทาภาระภาษีที่เกิดจากกำไรสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยให้แก่ผู้อยู่ในประเทศไทย หรือเป็นผู้มีภูมิลำเนาในไทย จึงกำหนดให้ผู้รับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรดังกล่าว ได้รับเครดิตภาษีเท่ากับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไร คูณด้วยอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล หารด้วยร้อยลบอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งอาจแสดงเป็นสูตรได้ดังนี้
เครดิตภาษี = เงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไร x อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล
100 – อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล
เครดิตภาษีที่ได้รับให้นำมาถือรวมเป็นเงินได้พึงประเมิน เพื่อคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ได้เป็นเงินภาษีเท่าใด ให้นำเครดิตภาษี (รวมทั้งภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย) มาหักออก หากยังขาดให้ชำระเพิ่ม แต่ถ้าเกินให้มีสิทธิขอคืนภาษีจากกรมสรรพากร
ซึ่งวิธีการเครดิตภาษีดังกล่าวเป็นการที่รัฐให้เครดิตภาษีเต็มจำนวน (FULL CREDIT) ที่ผู้มีเงินได้ได้ชำระภาษีเงินได้ในรูปของภาษีเงินได้นิติบุคคล
ประการที่ 2 การพิจารณาให้เครดิตภาษีดังกล่าว เป็นการให้ทางเลือกเเก่ผู้มีเงินได้ที่จะเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามหลัก ความสามารถในการเสียภาษี (ABILITY TO PAY PRINCIPLE) กล่าวคือ หากผู้มีเงินได้ถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในอัตรา 10% ของเงินปันผล เท่ากับผู้มีเงินได้ได้เสียภาษีเงินได้ไปแล้วเป็นจำนวนถึง 37% ของกำไรสุทธิ ซึ่งเป็นอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาขั้นสูงสุด ที่ใช้สำหรับผู้ที่มีเงินได้สุทธิเกินกว่าสี่ล้านบาทขึ้นไป กฎหมายจึงให้สิทธิแก่ผู้มีเงินได้ที่จะเลือกเสียภาษีเงินได้เท่ากับจำนวน ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย โดยไม่ต้องนำเงินปันผลมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้อีกต่อไป เพราะโดยภาพรวมรัฐได้เม็ดเงินภาษีจากผู้มีเงินได้ท่านนั้นเต็มตามจำนวนที่ รัฐพึงได้แล้ว
แต่สำหรับผู้มีเงินได้ที่ความสามารถในการเสียภาษียังไม่ถึงขั้นที่ต้องเสีย ภาษีเงินได้ในอัตราสูงสุดหรือ 37% ของเงินได้สุทธิ การได้สิทธิเครดิตตามเหตุผลประการที่ 1 ดังกล่าว ย่อมทำให้เกิดความเป็นธรรมที่ผู้มีเงินได้จะได้เริ่มคำนวณภาษีเงินได้บุคคล ธรรมดาจากเงินกำไรสุทธิในส่วนของตนอีกครั้งหนึ่ง ตามขั้นหรือระดับความสามารถในการเสียภาษีของตน
ปุจฉา การได้รับเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากรจะเกิดขึ้นในกรณีใดและเมื่อใด
วิสัชนา เมื่อบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยได้จ่ายเงิน ปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรให้แก่ผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วน ไม่ว่าผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนนั้นจะเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยหรือไม่ก็ ตาม บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นผู้จ่ายเงินได้จะทำการหักภาษีเงิน ได้บุคคลธรรมดา ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50 (2) แห่งประมวลรัษฎากร ในอัตรา 10% ของเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งขอกำไร ซึ่งผู้เงินได้มีสิทธิเลือกเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2 วิธีดังนี้
วิธีที่ 1 เลือกเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเท่าที่ถูกหักภาษีเงินได้ไว้ ณ ที่จ่าย โดยไม่นำเงินได้ที่เป็นเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรมารวมคำนวณเพื่อ เสียเงินได้ตามปกติ และไม่ขอรับเงินภาษีที่ถูกหักไว้ ณ ที่จ่ายนั้นคืน หรือไม่ขอเครดิตภาษีที่ได้ถูกหักไว้นั้นไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน โดยวิธีนี้ ผู้มีเงินได้จะไม่ได้รับเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากรแต่อย่างใด
วิธีที่ 2 เลือกที่จะนำเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรมาคำนวณภาษีเงินได้บุคคล ธรรมดาตามวิธีปกติ คือ นำเงินได้พึงประเมินมาหักด้วยค่าใช้จ่าย (ถ้ามี) และค่าลดหย่อน คงเหลือเป็นเงินสุทธิเท่าใด นำไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามอัตราก้าวหน้า แต่จำนวนภาษีที่ต้องเสียต้องไม่น้อยกว่าจำนวนภาษีที่คำนวณได้จากอัตรา 0.5% ของเงินได้พึงประเมินที่จำนวนตั้งแต่ 60,000 บาทขึ้นไป แต่ทั้งนี้ไม่รวมเงินได้ตามมาตรา 40(1) แห่งประมวลรัษฎากร
โดยวิธีนี้ เฉพาะผู้มีเงินได้ที่อยู่ในประเทศไทย หรือเป็นผู้มีภูมิลำเนาในไทย จะได้รับเครดิตภาษีเท่ากับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไร คูณด้วยอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล หารด้วยร้อยลบอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยจะต้องนำเครดิตภาษีที่ได้รับให้นำมาถือรวมเป็นเงินได้พึงประเมิน เพื่อคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วย
เครดิตภาษีสำหรับเงินปันผล (2)
ขอนำประเด็นสิทธิประโยชน์เกี่ยวกับการใช้เครดิตภาษี ตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ของผู้มีเงินได้ที่เป็นผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนที่ได้รับเงินปันผล หรือ
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : เงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้จากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้น ตามกฎหมายไทย ตามมาตรา 40(4)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.119/2545 มา ปุจฉา-วิสัชนา ต่อจากสัปดาห์ก่อนดังนี้ครับ
ปุจฉา มีหลักเกณฑ์การพิจารณาเบื้องต้นเกี่ยวกับผู้มีเงินได้ที่จะได้รับเครดิตภาษี หรือไม่ได้รับเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากรอย่างไร
วิสัชนา หลักเกณฑ์เบื้องต้นในการพิจารณาว่า ผู้มีเงินได้รายได้จะได้รับเครดิตภาษีตามกฎหมายหรือไม่ ดังนี้
1. สิทธิประโยชน์ข้อนี้ กำหนดไว้เป็นพิเศษแก่เฉพาะผู้มีเงินได้ที่เป็นอยู่ในประเทศไทยถึง 180 วันในปีภาษี หรือไม่ก็ต้องเป็นผู้ที่มีภูมิลำเนาในประเทศไทย กล่าวคือ เป็นผู้มีชื่อในทะเบียนราษฎร์ตามกฎหมายว่าด้วยทะเบียนราษฎร์ของไทย ทั้งนี้ ไม่ว่าผู้มีเงินได้ดังกล่าวจะเป็นคนไทยหรือคนต่างด้าว
2. ต้องเป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร หรือเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้รับจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย รวมทั้งกิจการร่วมค้าที่ประกอบกิจการในประเทศไทย หรือจากกองทุนรวมตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร เช่น กองทุนสินภิญโญ กองทุนทรัพย์ทวิ เป็นต้น
3. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล รวมทั้งกิจการร่วมค้า เว้นแต่กองทุนรวมตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ต้องจ่ายเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้ผ่านการเสียภาษีเงินได้ นิติบุคคลจากฐานกำไรสุทธิมาแล้ว
ปุจฉา กรณีใดบ้างที่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ได้รับเงินปันผล หรือเงินส่วนแบ่งของกำไร แต่ไม่ได้รับเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร
วิสัชนา กรณีดังต่อไปนี้ ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ได้รับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่ง ของกำไร โดยไม่ได้รับเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร
1. สำหรับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไร ซึ่งเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร ดังนี้
(1) กรณีได้รับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน นิติบุคคลที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน โดยจ่ายจากกำไรของโครงการที่ได้รับส่งเสริมการลงทุน และได้รับในช่วงเวลาที่ได้รับส่งเสริมการลงทุนนั้น
(2) เงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้จากกองทุนรวมที่จัดตั้งขึ้นโดยบริษัทการจัดการกองทุนรวม
(3) เงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้จากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่ประกอบกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล เช่น โรงเรียนเอกชน หรือสถาบันอุดมศึกษาเอกชน หรือกิจการฝึกอบรมภายในแก่พนักงานของตนและพนักงานของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน นิติบุคคลในเครือเดียวกัน บริษัทจำกัดที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยที่ประกอบกิจการขนส่งสินค้าโดยเรือเดิน ทะเล
2. สำหรับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไร ซึ่งเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร
(1) เงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้จากห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่ นิติบุคคล ซึ่งกฎหมายกำหนดยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามมาตรา 42(14) แห่งประมวลรัษฎากร
(2) เงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้จากกองทุนรวมตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ปุจฉา กรณีได้รับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน นิติบุคคลที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน โดยได้รับเงินปันผลที่จ่ายจากกำไรสุทธิของกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ นิติบุคคล แต่มีการจ่ายเงินปันผลดังกล่าวภายหลังพ้นระยะเวลาที่ได้รับการส่งเสริมการลง ทุน ผู้ได้รับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งขอกำไรดังกล่าวมีภาระภาษีอย่างไร และมีสิทธิได้รับเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร หรือไม่
วิสัชนา กรณีผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้รับเงินปันผล ซึ่งเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร จากบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน และเป็นเงินปันผลที่จ่ายจากกำไรสุทธิของกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ นิติบุคคล อาจแยกพิจารณาได้ดังนี้
1. กรณีกิจการที่ได้รับส่งเสริมการลงทุนได้จ่ายเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของ กำไรในช่วงเวลาที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ผู้ได้รับเงินปันผลจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และไม่ต้องถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย แต่อย่างใด และไม่มีสิทธิได้รับเครดิตภาษีสำหรับเงินได้ดังกล่าว
2. กรณีกิจการที่ได้รับส่งเสริมการลงทุนได้จ่ายเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของ กำไรภายหลังพ้นระยะเวลาที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนแล้ว ผู้จ่ายเงินปันผลต้องคำนวณหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 10 ของเงินได้ ตามมาตรา 50(2) แห่งประมวลรัษฎากร โดยจะต้องระบุในหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายที่ออกให้แก่ผู้มีเงินได้ว่า “ไม่ได้รับเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร” ด้วย ทั้งนี้ ผู้ได้รับเงินปันผลไม่ได้รับเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร แต่อย่างใด
เครดิตภาษีสำหรับเงินปันผล (3)
ขอ นำประเด็นสิทธิประโยชน์เกี่ยวกับการใช้เครดิตภาษี ตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ของผู้มีเงินได้ที่เป็นผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนที่ได้รับเงินปันผล หรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้จากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้ง ขึ้นตามกฎหมายไทย
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ตามมาตรา 40(4)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.119/2545 มา ปุจฉา-วิสัชนา ต่อจากสัปดาห์ก่อนดังนี้ครับ
ปุจฉา ช่วยตอกย้ำแนวคิดในการมีบทบัญญัติเกี่ยวกับเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร อีกสักครั้งหนึ่ง เพราะยังไม่ชัดเจนในส่วนที่เกี่ยวกับเหตุผลความจำเป็น
วิสัชนา เป็นคำถามที่ดี ที่ยังไม่ได้ชี้แจงมาก่อน จึงขอโอกาสนี้กล่าวถึงแนวคิดในการมีบทบัญญัติเกี่ยวกับเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ดังนี้ครับ
1.ในบ้านเรากำหนดหลักการจัดเก็บภาษีเงินได้จากกำไรสุทธิของบริษัทหรือห้าง หุ้นส่วนนิติบุคคลเป็นสองระดับ กล่าวคือ นอกจากระดับที่เป็นกำไรสุทธิ ซึ่งอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลโดยทั่วไป คือ ร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิ คงเหลือกำไรสะสมหลังจากเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจำนวนร้อยละ 70 ของกำไรสุทธิ ในระดับที่สอง คือ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินปันผล ซึ่งเสียภาษีสูงสุดในอัตราร้อยละ 10 ของเงินกำไรสะสมที่เหลือดังกล่าว คิดเป็นร้อยละ 7 ของกำไรสุทธิ
เมื่อรวมภาษีเงินได้ที่ชำระทั้งสองระดับแล้วเทียบกับกำไรสุทธิทั้งสิ้น โดยคิดเป็นอัตรา % ก็จะได้เป็นร้อยละ 37 ของกำไรสุทธิ ซึ่งจะเห็นได้ว่า อัตราร้อยละ 37 เป็นอัตราเดียวกับอัตราสูงสุดของอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา นั่นเองเป็นคำตอบว่าทำไมอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรดาสูงสุดจึงเป็นอัตราร้อย ละ 37 ของเงินได้สุทธิ ทั้งนี้ ก็เพื่อให้เกิดความเป็นกลางในการจัดเก็บภาษีเงินได้ทั้งสองประเภท เพราะไม่ว่าจะเลือกประกอบกิจการในรูปของบุคคลธรรมดาหรือประกอบกิจการในรูป ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลก็ตาม อัตราภาษีเงินได้สูงสุดก็จะไม่เกินร้อยละ 37 ทั้งสองรูปแบบ อันเป็นหลักการของภาษีอากรที่ดี ในข้อที่ว่าด้วย “ความเป็นกลางทางเศรษฐกิจ”
ดังนั้น หากผู้มีเงินได้ที่ได้รับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรจากบริษัทหรือ ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งได้สิทธิเลือกเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตราร้อยละ 10 ของเงินปันผล ตามมาตรา 48(3) แห่งประมวลรัษฎากร ก็จะทำให้ผู้มีเงินได้ที่ได้รับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรดังกล่าว เสียภาษีเงินได้ทั้งสิ้นร้อยละ 37 ของกำไรสุทธิ
2.กล่าวสำหรับผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนที่อาจจะมีเงินได้ไม่ถึงเกณฑ์ ที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในอัตราร้อยละ 37 ของกำไรสุทธิ ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดของอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จึงเกิดแนวคิดที่จะให้ผู้มีเงินได้รายนั้นๆ ได้ความเป็นธรรมในระบบภาษีอากรสูงสุด และเป็นไปตามหลักความสามารถในการเสียภาษีอากร กล่าวคือ หากมีเงินได้น้อยก็ให้เสียภาษีเงินได้ในอัตราต่ำ และเพิ่มอัตราสูงขึ้นไปเป็นขั้นบันไดหรือที่นิยมเรียกกันว่า “อัตราก้าวหน้า” (PROGRESSIVE RATE) ทั้งนี้ โดยให้ผู้มีเงินได้ที่เป็นผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนที่ได้รับเงินได้ ที่เป็นเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย และเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยหรือมีภูมิลำเนาในประเทศไทย ได้สิทธิเสียภาษีจากเงินได้ที่ได้จากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น เสมือนเป็นผู้ประกอบกิจการเองแต่เพียงลำพัง จึงให้คำนวณและเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากกำไรสุทธิในส่วนของผู้มีเงิน ได้อีกครั้งหนึ่ง สำหรับภาษีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายที่ตนได้เสียไป ก็ให้นำมาเป็นเครดิตหักออกจากจำนวนภาษีที่คำนวณได้ หากเหลือก็ให้มีสิทธิได้รับคืนจากรัฐ
แนวคิดดังกล่าว เป็นแนวคิดที่ประเทศไทยเราได้รับอิทธิพลจากประเทศอังกฤษ อันเป็นแม่แบบของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยเรียกการให้เครดิตในลักษณะนี้ว่า ระบบเครดิตเต็มจำนวน (FULL CREDIT)
แต่เดิมอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นระบบอัตราเดียว คือ ร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิ การบัญญัติกฎหมายมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร จึงกำหนดเป็นการตายตัวว่า เครดิตที่ผู้มีเงินได้ได้รับคิดเป็นอัตราเศษ 3 ส่วน 7 ของเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ผู้มีเงินได้ได้รับ
ครั้นต่อมา มีการพัฒนาระบบอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นระบบหลายอัตรา จึงจำเป็นต้องปรับจำนวนเครดิตภาษีให้เป็นธรรมตามอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นๆ ได้เสียไปจริง
ปุจฉา การจ่ายเงินปันผลจากกำไรสุทธิที่เกิดจากการรับรู้รายได้ตามเกณฑ์ส่วนได้ส่วนเสีย (EQUITY METHOD) มีผลกระทบต่อการได้รับเครดิตภาษีอย่างไร
วิสัชนา เงินปันผลที่ผู้ถือหุ้นได้รับจากบริษัทที่รับรู้รายได้ตามเกณฑ์ส่วนได้ส่วน เสีย จะไม่มีสิทธิได้รับเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร และเมื่อบริษัทผู้จ่ายปันผลได้รับเงินปันผลจากบริษัทร่วมหรือบริษัทในเครือ ของตน ก็ไม่มีสิทธินำมาจ่ายเงินปันผลอีก จึงทำให้ผู้ถือหุ้นเสียสิทธิประโยชน์ข้อนี้ไป แต่ข้อดีคือผู้ถือหุ้นได้สิทธิรับเงินปันผลก่อน
เครดิตภาษีสำหรับเงินปันผล (4)
ขอนำประเด็นสิทธิ ประโยชน์เกี่ยวกับการใช้เครดิตภาษี ตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ของผู้มีเงินได้ที่เป็นผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนที่ได้รับเงินปันผล หรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้จากบริษัทหรือ ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ตามมาตรา 40(4)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.119/2545 มา ปุจฉา-วิสัชนา ต่อจากสัปดาห์ก่อนดังนี้ครับ
ปุจฉา กรณีผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ได้รับเงินส่วนแบ่งของกำไร จากกิจการร่วมค้าที่ประกอบกิจการในประเทศไทย ผู้ได้รับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรจะได้รับเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร หรือไม่
วิสัชนา กรณีผู้มีเงินได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทยหรือมีภูมิลำเนาในประเทศไทย และเป็นผู้ได้รับเงินส่วนแบ่งของกำไรจากกิจการร่วมค้าที่ประกอบกิจการใน ประเทศไทย และได้ผ่านการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากฐานกำไรสุทธิในอัตรา 30% ของกำไรสุทธิ ผู้มีเงินได้ดังกล่าวก็ย่อมได้รับเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากรด้วย เนื่องจากกิจการร่วมค้าที่ประกอบกิจการในประเทศไทย ถือเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร และมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากฐานกำไรสุทธิเช่นเดียวกับบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตาม กฎหมายไทยทั่วไป เงินส่วนแบ่งของกำไรจึงถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร
ปุจฉา กรณีผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ได้รับเงินส่วนแบ่งของกำไรที่จากกองทุนรวมตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร เช่น กองทุนสินภิญโญ หรือกองทุนทรัพย์ทวี และเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้รับจากกองทุนรวมที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติ หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มีภาระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแตกต่างกันหรือไม่อย่างไร และผู้ได้รับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไร จะได้รับเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร หรือไม่
วิสัชนา กรณีผู้มีเงินได้ได้รับเงินส่วนแบ่งของกำไรจากกองทุนรวม เช่น กองทุนสินภิญโญ กองทุนทรัพย์ทวี ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ได้รับเงินส่วนแบ่งของกำไรดังกล่าว มีสิทธิเลือกเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยเลือกเสียภาษีเท่าที่ถูกหักภาษีเงินได้ไว้ ณ ที่จ่าย ในอัตรา 10% ของเงินได้ หรือจะนำเงินส่วนแบ่งของกำไรไปรวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในแบบ ภ.ง.ด.90 เมื่อสิ้นปีภาษีตามปกติก็ได้ ซึ่งผู้ได้รับเงินปันผลไม่ได้รับเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร แต่อย่างใด เนื่องจากเงินได้ของกองทุนรวม และบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ ตามมาตรา 48(3) วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร
กรณีผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้รับเงินส่วนแบ่งของกำไร จากกองทุนรวมที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 เช่น กองทุนบัวหลวง กองทุนรวงข้าว เป็นต้น ซึ่งถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร เช่นนี้ผู้ได้รับเงินปันผลไม่มีสิทธิได้รับเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร แต่อย่างใด เนื่องจากกองทุนดังกล่าวไม่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร และหากผู้ได้รับเงินส่วนแบ่งของกำไรยอมให้ผู้จ่ายเงินได้นั้นหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50(2) แห่งประมวลรัษฎากร ในอัตรา 10% ของเงินได้ เมื่อถึงกำหนดยื่นรายการ ผู้ได้รับเงินส่วนแบ่งของกำไรมีสิทธิเลือกเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยเลือกเสียภาษีเท่าที่ถูกหักภาษีเงินได้ไว้ ณ ที่จ่าย หรือจะนำเงินส่วนแบ่งของกำไรไปรวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในแบบ ภ.ง.ด.90 เมื่อสิ้นปีภาษีตามปกติก็ได้ ทั้งนี้ ตามพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 262) พ.ศ.2536
โดยทั้งสองกรณี ผู้จ่ายเงินได้ต้องระบุในหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายที่ออกให้แก่ผู้มีเงินได้ว่า “ไม่ได้รับเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร” ด้วย
ปุจฉา กรณีผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ได้รับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไร ซึ่งเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร จากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการโรงเรียนเอกชนตามกฎหมาย ว่าด้วยโรงเรียนเอกชน หรือสถาบันอุดมศึกษาเอกชน หรือจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการสถานฝึกอบรม เพื่อพัฒนาฝีมือแรงงานของลูกจ้างของตน หรือของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน ผู้ได้รับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไร จะได้รับเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร หรือไม่
วิสัชนา เนื่องจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการโรงเรียนเอกชนและ สถาบันอุดมศึกษา หรือกิจการสถานฝึกอบรมเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงานของลูกจ้างของตน หรือของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวล รัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 284) พ.ศ.2538 ผู้มีเงินได้ที่ได้รับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรจากกิจการดังกล่าว จะไม่ได้รับเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร
สำหรับผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่ได้รับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรจากบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการโรงเรียนเอกชนและสถาบันอุดมศึกษา ยังได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามข้อ 2(37) ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ.2509) ส่วนเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่ประกอบกิจการสถานฝึกอบรมเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงานของลูกจ้างของตน หรือของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน ผู้จ่ายเงินปันผลต้องคำนวณหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตรา 10% ของเงินได้ ตามมาตรา 50(2) แห่งประมวลรัษฎากร โดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนผู้จ่ายเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไร จะต้องระบุในหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ที่ออกให้แก่ผู้มีเงินได้ว่า “ไม่ได้รับเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร” ด้วย
เครดิตภาษีสำหรับเงินปันผล (5)
ขอนำประเด็นสิทธิ ประโยชน์เกี่ยวกับการใช้เครดิตภาษี ตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ของผู้มีเงินได้ที่เป็นถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนที่ได้รับเงินปันผลหรือ
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : เงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้จากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้น ตามกฎหมายไทย ตามมาตรา 40(4)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 119/2545 มา
ปุจฉา-วิสัชนา ต่อจากสัปดาห์ก่อนดังนี้ครับ ปุจฉา มีแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับออกหนังสือรับรองการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
วิสัชนา กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ประกอบกิจการที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลหลายอัตรา เมื่อจ่ายเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรให้แก่ผู้รับซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา และผู้จ่ายเงินได้ทราบโดยชัดแจ้งว่า จ่ายจากเงินกำไรสุทธิหลังจากเสียภาษีในอัตราใด ผู้จ่ายเงินได้จะต้องระบุในหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายให้ชัดเจนว่าเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่จ่ายนั้น จำนวนใดได้มาจากกิจการที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในอัตราใด กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลดังกล่าวไม่สามารถทราบโดยชัดแจ้งว่า จ่ายจากเงินกำไรสุทธิหลังจากเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราใด ให้เฉลี่ยเงินปันผล หรือเงินส่วนแบ่งของกำไรตามส่วนของกำไรสุทธิหลังจากเสียภาษีเงินได้ นิติบุคคลในแต่ละอัตราภาษี และจะต้องระบุในหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ให้ชัดเจนว่าเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่จ่ายนั้น จำนวนใดได้มาจากกิจการที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราใด ซึ่งในกรณีนี้ ทั้งยุ่งยาก และที่สุดแล้วก็ต้องระบุอยู่ดีว่า ได้จ่ายเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรจากกำไรสุทธิหลังจากเสียภาษีเงิน ได้บุคคลอัตราใด ดังนั้น จึงควรที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลหลาย อัตรา เช่น บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ซึ่งมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน 5 ล้านบาท รวมทั้งบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ได้รับการลดอัตรา หรือกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน จะได้จัดทำบัญชีแยกประเภทกำไรสะสมหลังจากเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล รวมทั้งบัญชีสำรองตามกฎหมาย (สำหรับบริษัทจำกัด) เป็นรายอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล เพื่อความสะดวกในการจัดสรรกำไรสะสมเป็นเงินปันผล โดยเลือกจ่ายเงินปันผลจากกำไรสุทธิหลังจากเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลอัตราใด ก่อนหลังก็ได้
ปุจฉา มีแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับโทษ กรณีระบุรายละเอียดเกี่ยวกับสิทธิการได้รับเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร อย่างไร วิสัชนา มีแนวปฏิบัติดังนี้
1. กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลผู้จ่ายเงินปันผล แสดงข้อความที่กำหนดให้ต้องระบุในหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้โดยถูกต้องและครบถ้วนแล้ว หากผู้มีเงินได้มิได้นำไปใช้เครดิตภาษี หรือนำไปใช้เครดิตภาษีถูกต้องตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ผู้จ่ายเงินได้และผู้มีเงินได้ไม่ต้องรับผิดตามมาตรา 47 ทวิ วรรคสี่ แห่งประมวลรัษฎากร
2. กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลผู้จ่ายเงินปันผล แสดงข้อความที่กำหนดให้ต้องระบุในหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ถูกต้องและครบถ้วนแล้ว หากผู้มีเงินได้นำไปใช้เครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร แต่ใช้เครดิตภาษีไม่ถูกต้อง โดยเครดิตภาษีที่คำนวณได้มีจำนวนเกินกว่าที่ผู้มีเงินได้พึงได้รับ อันเป็นเหตุให้ผู้มีเงินได้ได้รับเงินภาษีคืนเกินไปหรือชำระภาษีไว้ไม่ครบ ถ้วน ผู้จ่ายเงินได้ไม่ต้องรับผิดตามมาตรา 47 ทวิ วรรคสี่ แห่งประมวลรัษฎากร สำหรับผู้มีเงินได้ต้องรับผิดตามจำนวนเงินภาษีที่ได้รับคืนเกินไปหรือเงิน ภาษีที่ชำระไว้ไม่ครบถ้วน ซึ่งเจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจเรียกคืนเงินจำนวนดังกล่าวหรือประเมินเรียก เก็บภาษีเพิ่มเติมจากผู้มีเงินได้ แล้วแต่กรณี ตามมาตรา 47 ทวิ วรรคสี่ แห่งประมวลรัษฎากร
3. กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลผู้จ่ายเงินปันผล แสดงข้อความที่กำหนดให้ต้องระบุในหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ไม่ถูกต้อง และผู้มีเงินได้มิได้นำไปใช้เครดิตภาษี ตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ผู้จ่ายเงินได้และผู้มีเงินได้ ไม่ต้องรับผิดตามมาตรา 47 ทวิ วรรคสี่ แห่งประมวลรัษฎากร
4. กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลผู้จ่ายเงินปันผล แสดงข้อความที่กำหนดให้ต้องระบุในหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ไม่ถูกต้อง และผู้มีเงินได้นำไปใช้เครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร โดยเครดิตภาษีที่คำนวณได้มีจำนวนเกินกว่าที่ผู้มีเงินได้พึงได้รับ ซึ่งอาจเป็นเหตุให้ผู้มีเงินได้จะได้รับเงินภาษีคืนเกินไป หากผู้มีเงินได้ยังไม่ได้รับเงินภาษีคืน หรือได้รับเงินภาษีคืนแต่ยังไม่เกินกว่าจำนวนที่พึงได้รับ ผู้จ่ายเงินได้และผู้มีเงินได้ไม่ต้องรับผิดตามมาตรา 47 ทวิ วรรคสี่ แห่งประมวลรัษฎากร
5. กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลผู้จ่ายเงินปันผล แสดงข้อความที่กำหนดให้ต้องระบุในหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ไม่ถูกต้อง และผู้มีเงินได้นำไปใช้เครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร โดยเครดิตภาษีที่คำนวณได้มีจำนวนเกินกว่าที่ผู้มีเงินได้พึงได้รับ อันเป็นเหตุให้ผู้มีเงินได้ได้รับเงินภาษีคืนเกินไปหรือชำระภาษีไว้ไม่ครบ ถ้วน ผู้จ่ายเงินได้ต้องรับผิดร่วมกับผู้มีเงินได้ตามจำนวนเงินภาษีที่ได้รับคืน เกินไปหรือเงินภาษีที่ชำระไว้ไม่ครบถ้วน ตามมาตรา 47 ทวิ วรรคสี่ แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งเจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจเรียกคืนเงินจำนวนดังกล่าวหรือประเมินเรียก เก็บภาษีเพิ่มเติมจากผู้จ่ายเงินได้ก่อน
แต่ถ้าเรียกคืนเงินภาษีหรือเรียกเก็บภาษีจากผู้จ่ายเงินได้ไม่ได้หรือไม่ครบ จำนวนที่ถูกต้อง เจ้าพนักงานประเมินก็มีอำนาจเรียกคืนเงินภาษีหรือเรียกเก็บภาษีจากผู้มีเงิน ได้ ตามมาตรา 18 แห่งประมวลรัษฎากร กรณีผู้มีเงินได้ได้รับเงินปันผลจากผู้จ่ายเงินได้หลายราย และผู้จ่ายเงินได้บางรายแสดงข้อความที่กำหนดให้ต้องระบุในหนังสือรับรองการ หักภาษี ณ ที่จ่าย ไม่ถูกต้อง หากผู้มีเงินได้นำไปใช้เครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร โดยเครดิตภาษีที่คำนวณได้มีจำนวนเกินกว่าที่ผู้มีเงินได้พึงได้รับ อันเป็นเหตุให้ผู้มีเงินได้ได้รับเงินภาษีคืนเกินไปหรือชำระภาษีไว้ไม่ครบ ถ้วน ผู้จ่ายเงินได้ซึ่งแสดงข้อความที่กำหนดให้ต้องระบุในหนังสือรับรองการหัก ภาษี ณ ที่จ่าย ไม่ถูกต้อง ต้องรับผิดร่วมกับผู้มีเงินได้ตามจำนวนเงินภาษีที่ได้รับคืนเกินไปหรือเงิน ภาษีที่ชำระไว้ไม่ครบถ้วน ตามมาตรา 47 ทวิ วรรคสี่ แห่งประมวลรัษฎากร พบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ
เครดิตภาษีสำหรับเงินปันผล (6)
ขอนำประเด็นสิทธิ ประโยชน์เกี่ยวกับการใช้เครดิตภาษี ตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ของผู้มีเงินได้ที่เป็นถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนที่ได้รับเงินปันผลหรือ เงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้จากบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ตามมาตรา 40(4)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.119/2545 มาปุจฉา-วิสัชนา ต่อจากสัปดาห์ก่อนดังนี้ครับ
ปุจฉา กรณีบริษัทจดทะเบียน บริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ได้รับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรจากกิจการดังต่อไปนี้ ผู้รับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรดังกล่าว จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลหรือไม่ อย่างไร
1. บริษัทจำกัดที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย
2. กองทุนรวมทั้งกองทุนรวมตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร เช่น กองทุนสินภิญโญ กองทุนทรัพย์ทวี และกองทุนรวมที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535
3. กิจการร่วมค้า (JOINT VENTURE: JV) ที่ประกอบกิจการในประเทศไทย ซึ่งมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร
4. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยที่ได้รับส่งเสริมการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วย การส่งเสริมการลงทุน
วิสัชนา กรณีดังกล่าวอาจแยกพิจารณาได้ดังต่อไปนี้
1. สำหรับบริษัทจดทะเบียน ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ทั้งกรณีบริษัทจดทะเบียนทั่วไป (SET) และบริษัทจดทะเบียนในตลาด MAI
(1) กรณีได้รับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรจากกิจการดังต่อไปนี้ ให้ได้สิทธิไม่ต้องนำเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งกำไรไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษี เงินได้นิติบุคคล (ก) บริษัทจำกัดที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย
(ข) กองทุนรวมทั้งกองทุนรวมตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร และกองทุนรวมตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(ค) กิจการร่วมค้าที่ประกอบกิจการในประเทศไทย
(ง) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการที่ได้รับส่งเสริมการลงทุน โดยได้รับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่จ่ายจากกำไรสุทธิของกิจการที่ ได้ส่งเสริมการลงทุน และได้รับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรดังกล่าวในช่วงเวลาที่ได้รับส่ง เสริมการลงทุน
กรณีตาม (ก) และ (ข) ต้องถือหุ้นหรือหน่วยลงทุนในกิจการผู้จ่ายเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไร ดังต่อไปนี้ ไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามเดือนทั้งก่อนและหลังวันได้รับเงินปันผลหรือเงิน ส่วนแบ่งของกำไร จึงจะได้สิทธิประโยชน์ดังกล่าว
(1) กรณีได้รับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรจากกิจการดังต่อไปนี้ ต้องนำเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งกำไรไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ นิติบุคคลทั้งจำนวน (ก) ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย
(ข) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ
2. สำหรับบริษัทจำกัดที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย
(1) กรณีได้รับเงินปันผลจากบริษัทจำกัดที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย โดยได้ถือหุ้นในกิจการผู้จ่ายเงินปันผล ไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามเดือนทั้งก่อนและหลังวันได้รับเงินปันผล
(ก) บริษัทจำกัดที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยทั่วไป ได้สิทธินำเงินปันผลมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเพียงกึ่งหนึ่ง (50%)
(ข) สำหรับบริษัท HOLDING COMPANY หรือบริษัทจำกัดที่ได้ถือหุ้นในบริษัทจำกัดที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ไม่น้อยกว่า 25% ของหุ้นที่มีสิทธิออกเสียง และบริษัทจำกัดตามข้อ 1 มิได้ถือหุ้นในบริษัท HOLDING COMPANY ผู้รับเงินปันผลไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม และได้ถือหุ้นในบริษัทผู้จ่ายเงินปันผลตามข้อ 1 ไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามเดือนทั้งก่อนและหลังวันได้รับเงินปันผล บริษัท HOLDING COMPANY จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับเงินปันผลที่ได้รับนั้นทั้งจำนวน
(2) กรณีได้รับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรจากกองทุนรวมตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร หรือกองทุนรวมที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 จะได้สิทธินำเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงิน ได้นิติบุคคลเพียงร้อยละ 50
(3) กรณีได้รับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรจากกิจการร่วมค้า ที่ประกอบกิจการในประเทศไทย หรือบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการที่ได้รับส่งเสริมการลง ทุน และเป็นเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่จ่ายจากกำไรสุทธิของกิจการที่ ได้ส่งเสริมการลงทุน และได้รับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรดังกล่าวในช่วงเวลาที่ได้รับส่ง เสริมการลงทุน จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไร จากกิจการดังกล่าวทั้งจำนวน
ความเห็นล่าสุด