มิถุนายน, 2011 | รับทำเงินเดือน - Part 2 มิถุนายน, 2011 | รับทำเงินเดือน - Part 2

การบัญชีภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร

ในการประกอบธุรกิจต่างๆ นั้น โดยทั่วไปผู้ประกอบธุรกิจมีหน้าที่ต้องจัดทำบัญชี ตามกฎหมายว่าด้วยการบัญชี หรือ พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 เป็นปกติอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม เพื่อประโยชน์ในการบริหารการจัดเก็บภาษีอากรของกรมสรรพากร โดยเฉพาะตามบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากรได้กำหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากร และผู้มีหน้าที่นำส่งภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย บางกรณีต้องจัดทำบัญชีพิเศษเพิ่มเติม นอกเหนือจากบัญชีที่ต้องจัดทำตามกฎหมายว่าด้วยการบัญชี จึงขอนำมาเป็นประเด็น ปุจฉา – วิสัชนา ดังนี้

ปุจฉา การบัญชีเพื่อประโยชน์แห่งการจัดเก็บภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร หรือเรียกย่อๆ ว่า “การบัญชีภาษีอากร” หมายความว่าอย่างไร

วิสัชนา “การบัญชีภาษีอากร” หมายความว่า การจัดทำบัญชีตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์แห่งการจัดเก็บภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร ซึ่งอาจจำแนกรายละเอียด “การบัญชีภาษีอากร” ได้ดังนี้

1. บัญชีงบดุล บัญชีทำการ และบัญชีกำไรขาดทุน
2. บัญชีรายรับรายจ่าย
3. บัญชีรายได้ก่อนหักรายจ่ายใดๆ
4. รายงานเงินสดรับ – จ่าย  
5. เอกสารหลักฐานและรายงานในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม
6. รายงานภาษีธุรกิจเฉพาะ 
7. บัญชีพิเศษแสดงการหักภาษี ณ ที่จ่ายและการนำส่ง
8. บัญชีพิเศษสำหรับผู้ผลิตหรือผู้รับจ้างผลิตซีดี
9. บัญชีพิเศษสำหรับกิจการโรงสีขนาดเล็ก
10. บัญชีพิเศษสำหรับกิจการสถานพยาบาลที่มีเตียงรับผู้ป่วยไว้ค้างคืน
11. บัญชีพิเศษสำหรับกิจการค้าของเก่าประเภทรถยนต์ 
12. ใบรับ ใบส่งของ
13. การแสดงรายการหรือแจ้งข้อความใดๆ ตามประมวลรัษฎากร
14. การคำนวณและการยื่นรายการเพื่อชำระหรือนำส่งภาษีอากร
15. การปิดแสตมป์บริบูรณ์
16. การขอคืนภาษีอากร
17. การปฏิบัติหน้าที่อื่นตามประมวลรัษฎากร อาทิ การขอมีและใช้เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร การจดทะเบียน การออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย

ปุจฉา บัญชีงบดุล บัญชีทำการ และบัญชีกำไรขาดทุน มีวัตถุประสงค์และหลักเกณฑ์ในการจัดทำอย่างไร
วิสัชนา บัญชีงบดุล บัญชีทำการ และบัญชีกำไรขาดทุน มีวัตถุประสงค์ในการจัดทำดังนี้ 

1. เพื่อประโยชน์ในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน นิติบุคคล ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากฐานกำไรสุทธิ ต้องทำการปรับปรุงกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิทางบัญชีหรือทางการเงิน ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิทางภาษีอากร ตามมาตรา 65 มาตรา 65 ทวิ มาตรา 65 ตรี มาตรา 65 จัตวา มาตรา 70 ตรี และมาตรา 74 โดยทำการปรับปรุงจากจำนวนกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิทางการเงิน

2. เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ของบริษัทหรือ ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล โดยเจ้าพนักงานประเมิน  ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากฐานกำไรสุทธิจัดทำบัญชีงบดุล บัญชีทำการ และบัญชีกำไรขาดทุน ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขดังต่อไปนี้

  1. รูปแบบของบัญชีงบดุล บัญชีทำการ และบัญชีกำไรขาดทุน สอดคล้องกับการจัดทำบัญชีดังกล่าวตามกฎหมายว่าด้วยการบัญชี
  2. บัญชีงบดุล บัญชีทำการ และบัญชีกำไรขาดทุนต้องมีผู้สอบบัญชีรับอนุญาตตามมาตรา 3 สัตต แห่งประมวลรัษฎากร ตรวจสอบและรับรอง (มาตรา 68 ทวิ)
  3. พร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการ ภ.ง.ด. 50 ภายใน 150 วัน นับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต้องแนบบัญชีงบดุล บัญชีทำการ และบัญชีกำไรขาดทุน ที่มีผู้สอบบัญชีรับอนุญาตตามมาตรา 3 สัตต ตรวจสอบและรับรอง ด้วย (มาตรา 69)

(1)

ปุจฉา กำไรสุทธิทางบัญชีกับกำไรสุทธิทางภาษีอากร เหมือนหรือต่างกันอย่างไร

วิสัชนา กำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิทางบัญชีหรือทางการเงิน เป็นจำนวนผลต่างของรายได้กับรายจ่ายที่กิจการได้กระทำในระหว่างรอบระยะเวลา บัญชี ซึ่งโดยทั่วไปมีกำหนดเวลา 12 เดือน เพื่อแสดงผลการดำเนินกิจการในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชี ในอันที่จะเปรียบเทียบในกิจการเดียวกันหรือในระหว่างผู้ประกอบกิจการทั้ง หลาย

กำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิทางภาษีอากรเพื่อการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล คำนวณได้จากรายได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่กระทำในรอบระยะเวลาบัญชี หักด้วยรายจ่ายทั้งสิ้นในการประกอบกิจการเพื่อหารายได้ ตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในมาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร โดยต้องรับรู้รายได้และรายจ่ายตามเกณฑ์สิทธิ เว้นแต่อธิบดีกรมสรรพากรจะกำหนดเป็นอย่างอื่น

สำหรับเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ในทางภาษีอากร ที่แตกต่างจากการคำนวณกำไรและขาดทุนสุทธิทางบัญชีหรือทางการเงินมีสามรายการ คือ

1. เงื่อนไขเกี่ยวกับรายได้ ประกอบด้วย

(1) มาตรา 65 ประเภทรายได้ และเกณฑ์รับรู้รายได้
(2) มาตรา 65 ทวิ (4) เงื่อนไขการรับรู้รายได้จากการขายทรัพย์สิน รวมทั้งสินค้า การให้บริการและการให้กู้ยืมเงิน ซึ่งโดยทั่วไปต้องเป็นไปตามราคาตลาด
(3) มาตรา 65 ทวิ (10) รายได้เงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่บริษัทจำกัดซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยได้รับ
(4) มาตรา 65 ทวิ (11) ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่อยู่ในบังคับต้องถูกหักภาษีไว้ ณ ที่จ่าย ตามกฎหมายว่าด้วยภาษีเงินได้ปิโตรเลียม เฉพาะส่วนที่เหลือจากถูกหักภาษีไว้ ณ ที่จ่ายตามกฎหมายดังกล่าว
(5) มาตรา 65 ทวิ (12) เงินปันผลที่อยู่ในบังคับต้องถูกหักภาษีไว้ ณ ที่จ่ายตามกฎหมายว่าด้วยภาษีเงินได้ปิโตรเลียม เฉพาะส่วนที่เหลือจากถูกหักภาษีไว้ ณ ที่จ่ายตามกฎหมายดังกล่าว
6) มาตรา 65 ทวิ (14) ภาษีขายซึ่งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้รับหรือพึงได้รับ
(7) มาตรา 65 จัตวา รายได้ที่เป็นค่าภาษีเงินได้ซึ่งโรงงานยาสูบ กระทรวงการคลังได้เสียแทนให้ เนื่องจากการเป็นผู้ค้าส่งหรือผู้ค้าปลีกสินค้ายาสูบของโรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง
(8) มาตรา 70 ตรี กรณีที่กฎหมายถือเป็นการขายสินค้าในราชอาณาจักร อันเนื่องมาจากการส่งสินค้าออกไปต่างประเทศให้แก่หรือตามคำสั่งของ สำนักงานใหญ่ สาขา ตัวการ ตัวแทน บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน นายจ้าง ลูกจ้างในต่างประเทศ
(9) มาตรา 74 (2)(3) การนำสำรองกลับมาถือเป็นรายได้ กรณีเลิก ควบหรือโอนกิจการ

2. เงื่อนไขเกี่ยวกับรายจ่าย

(1) มาตรา 65 ทวิ (1) เท่ากันมาตรา 65 ตรี (1) ถึง (20) รายจ่ายต้องห้าม
(2) มาตรา 65 ทวิ (2) การหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาทรัพย์สิน
(3) มาตรา 65 ทวิ (7) ราคาทุนของสินค้าที่ส่งเข้ามาจากต่างประเทศ
(4) มาตรา 65 ทวิ (8) ราคาทุนของสินค้าที่เป็นเงินตราต่างประเทศ
(5) มาตรา 65 ทวิ (9) การจำหน่ายหนี้สูญออกจากบัญชีลูกหนี้

3. หลักเกณฑ์ในการตีราคาทรัพย์สินและหนี้สิน

(1) มาตรา 65 ทวิ (3) การตีราคาทรัพย์สินทั่วไปให้ใช้ตามราคาทุนเดิม
(2) มาตรา 65 ทวิ (5) การตีราคาเงินตรา ทรัพย์สิน หรือหนี้สินที่มีค่าหรือราคาเป็นเงินตราต่างประเทศ
(3) มาตรา 65 ทวิ (6) การตีราคาสินค้าคงเหลือในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี
(4) มาตรา 74 (1) การตีราคาทรัพย์สิน ณ วันเลิก ควบหรือโอนกิจการ

ดังนั้น เมื่อต้องการคำนวณเงินได้สุทธิหรือกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิทางภาษีอากร ก็เพียงแต่นำกำไรสุทธิทางบัญชีมาทำการปรับปรุงด้วยเงื่อนไขที่กำหนดไว้ใน ประมวลรัษฎากร ก็จะได้กำไรหรือขาดทุนสุทธิทางภาษีอากร เพื่อนำไปยื่นแบบแสดงรายการและเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด.50) ต่อไป

(2)

ที่มา..bangkokbiznews.com / อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์

จ่ายค่าน้ำมันรถให้พนักงาน

กรณีบริษัทฯ จ่ายค่าน้ำมันรถให้กับพนักงานของบริษัทฯ ซึ่งได้ใช้รถยนต์ส่วนตัวไปใน กิจธุระของบริษัทฯ โดยจ่ายให้เป็นการเหมาล่ำซำในอัตรากิโลเมตรละ 5 บาท จึงเกิดปัญหาว่า พนักงานจะต้องนำเงินได้จำนวนนี้ไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือไม่ และต้องใช้หลักฐานอะไรบ้าง

เกี่ยวกับเรื่องนี้ กรมสรรพากรได้มีแนววินิจฉัยดังนี้

การที่บริษัทฯ จ่ายเงินค่าน้ำมันรถให้กับพนักงาน หากจะได้รับยกเว้นตามมาตรา 42(1) แห่งประมวลรัษฎากร ก็ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขดังนี้คือ ต้องมีหลักฐานการใช้รถและพิสูจน์จนเป็นที่เชื่อถือแก่การตรวจสอบไต่สวนของเจ้าพนักงานประเมิน กล่าวคือ

1. ต้องจ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็นเฉพาะในการที่ต้องปฏิบัติการตามหน้าที่ของตนเท่านั้น และได้จ่ายไปทั้งหมดเพื่อการปฏิบัติงานตามหน้าที่นั้นด้วย และ

2. บริษัทฯ ต้องมีระเบียบอนุญาตให้มีการเบิกจ่ายค่าน้ำมันรถได้

3. ต้องมีหนังสืออนุญาตพร้อมทั้งการบันทึกอนุญาตให้เดินทางไปติดต่องานจากที่ไหนถึงไหน ระยะทางเท่าใด ชื่อเจ้าของรถ หมายเลขทะเบียนรถ

4. ต้องมีใบเสร็จรับเงินค่าน้ำมันรถที่มีการระบุชื่อเจ้าของรถ หมายเลขทะเบียนรถ

เงินค่าน้ำมันรถที่บริษัทฯ ได้จ่ายให้พนักงานส่วนที่นอกเหนือจากเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น ซึ่งบริษัทฯ ได้จ่ายให้เป็นการเหมาล่ำซำในอัตรากิโลเมตรละ 5 บาท จึงเข้าลักษณะเป็นประโยชน์อย่างอื่นที่ได้เนื่องจากการจ้างแรงงาน ตามมาตรา 40(1) แห่งประมวลรัษฎากร จึงต้องนำเงินจำนวนนี้ไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วย

การได้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับค่าน้ำมันตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว แม้จะมีข้อยุ่งยากอยู่บ้าง แต่ก็อยู่ในวิสัยที่จะพึงกระทำ และอาจปรับใช้เพื่อการควบคุมภายในเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานไปด้วยในตัว

มาดูแนวคำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นไปตามหนังสือกรมสรรพากรเลขที่ กค 0811(กม.02)/1681 ลงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2543

เลขที่หนังสือ  : กค 0811(กม.02)/1681

วันที่  : 6 พฤศจิกายน 2543

เรื่อง  : ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีประโยชน์ที่พนักงานบริษัทได้รับเป็นค่าน้ำมันรถ

ข้อกฎหมาย  : มาตรา 42(1)

ข้อหารือ :

บริษัทฯ จ่ายค่าน้ำมันรถให้กับพนักงานของบริษัทฯ ซึ่งได้ใช้รถยนต์ส่วนตัวไปใน กิจธุระของบริษัทฯ โดยจ่ายให้ในอัตรากิโลเมตรละ 5 บาท บริษัทฯ จึงหารือว่า พนักงานจะต้องนำ เงินได้จำนวนนี้ ไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือไม่ และมีข้อกำหนดให้ต้องมี หลักฐานอะไรบ้าง

แนววินิจฉัย

(1) การที่บริษัทฯ จ่ายเงินค่าน้ำมันรถให้กับพนักงาน หากจะได้รับยกเว้นตามมาตรา 42(1) แห่งประมวลรัษฎากร ก็ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขดังนี้คือ ต้องมีหลักฐานการใช้รถและพิสูจน์จน
เป็นที่เชื่อถือแก่การตรวจสอบไต่สวนของเจ้าพนักงานประเมิน กล่าวคือต้องจ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็นเฉพาะในการที่ต้องปฏิบัติการตามหน้าที่ของตนเท่านั้น และได้จ่ายไปทั้งหมดเพื่อการปฏิบัติงานตามหน้าที่นั้นด้วย และบริษัทฯ ต้องมีระเบียบอนุญาตให้มีการเบิกจ่ายค่าน้ำมันรถได้ มีหนังสืออนุญาตพร้อมทั้งการบันทึกอนุญาตให้เดินทางไปติดต่องานจากที่ไหนถึงไหน ระยะทางเท่าใด ชื่อเจ้าของรถ หมายเลขทะเบียนรถ ใบเสร็จรับเงินค่าน้ำมันรถที่มีการระบุชื่อเจ้าของรถ หมายเลขทะเบียนรถ

(2) เงินค่าน้ำมันรถที่บริษัทฯ ได้จ่ายให้พนักงานส่วนที่นอกเหนือจากข้อ (1) เข้าลักษณะเป็นประโยชน์อย่างอื่นที่ได้เนื่องจากการจ้างแรงงาน ตามมาตรา 40(1) แห่งประมวลรัษฎากร จึงต้องนำเงินจำนวนนี้ไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วย

เลขตู้  : 63/29940

ภาษีค่าสินไหมทดแทน

เงินค่าสินไหมทดแทนที่เกิดจากการประกันภัย หรือเกิดจากการละเมิดของคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง เป็นกรณีที่กฎหมายกำหนดขึ้นเพื่อให้ผู้เสียหายได้คืนสู่สภาพเดิม ดังนั้นในทางภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หากผู้เสียหายได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิดจากคู่กรณีก็ดี หรือเงินค่าสินไหมทดแทนที่ได้จากการบริษัทผู้รับประกันภัยก็ดี มีข้อกำหนดของกฎหมายให้ผู้เสียหายหรือผู้เอาประกันภัยที่ได้รับเงินค่าสินไหมทดแทน ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามมาตรา 42 (13) แห่งประมวลรัษฎากร

เช่น นาย ก. ทำประกันภัยรถยนต์ (ชั้นหนึ่ง) ไว้กับบริษัทผู้รับประกันภัย ต่อมารถเกิดอุบัติเหตุ นาย ก. จึงเรียกเคลมค่าช่อมแซมจากบริษัทผู้รับประกันภัย ทั้งกรณีค่าสินไหมทดแทนของ นาย ก. และค่าสินไหมทดแทนผู้เสียหายที่เกิดจากการกระทำของนาย ก. ถือเป็นเงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

อย่างไรก็ตาม กรณีผู้เอาประกันเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล เมื่อได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทผู้รับประกัน เงินค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวให้ถือเป็นรายได้อื่นของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น และให้ถือเอาค่าซ่อมแซมค่าความเสียหายแก่ทรัพย์สินเป็นรายจ่ายในการดำเนินงานตามปกติ เช่น เกิดเพลิงไหม้โกดังเก็บสินค้าของบริษัทฯ เสียหายทั้งหมด ราคาต้นทุนของโกดังตามบัญชีคิดเป็นมูลค่า 1 ล้านบาท บริษัทฯ ได้รับค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทผู้รับประกันจำนวน 5 ล้านบาท เช่นนี้ ถือว่าบริษัทฯ มีรายได้อื่น 5 ล้านบาท และมีค่าใช้จ่ายเนื่องจากโกดังเลียหายจำนวน 1 ล้านบาท อย่างนี้ผลต่างย่อมถือเป็นกำไรที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลด้วย ซึ่งจะแตกต่างจากกรณีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

กรณีบริษัทฯ ส่งรถยนต์ไปให้บริษัทประกันภัยซ่อมให้ ในทางปฏิบัติเนื่องจากรายได้เท่ากับรายจ่าย จึงไม่มีการบันทึกรายการทางบัญชีกันแต่อย่างใด

เงินค่าสินไหมทดแทนที่บริษัทผู้รับประกันภัยได้จ่ายให้แก่ผู้เอาประกันนั้น บริษัทผู้รับประกันภัยไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย แต่อย่างใด

นอกจากนี้ เงินค่าสินไหมทดแทนไม่ถือเป็นรายได้ที่อยู่ในข่ายที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอีกด้วย

ที่มา..สรรพากรพื้นที่ 4