ธันวาคม, 2008 | รับทำเงินเดือน - Part 2 ธันวาคม, 2008 | รับทำเงินเดือน - Part 2

สวัสดิการ ประโยชน์เพิ่มที่นายจ้างให้และภาระภาษีสำหรับพนักงาน

ใน การทำงานของลูกจ้างให้กับนายจ้างด้วยการใช้แรงกายแลกกับสินจ้างเป็นการตอบ แทน ลูกจ้างอาจได้รับทั้งที่เป็นตัวเงิน ประโยชน์ สิทธิ หรือบริการใดๆ จากนายจ้าง ซึ่งตัวที่เสริมเข้ามานอกเหนือจากสินจ้าง ก็จะเรียกว่า “สวัสดิการ”  (welfare)  โดยเป็นการให้เปล่าแก่พนักงาน ถ้าพนักงานจำเป็นต้องเสียเงินค่าใช้จ่ายเพื่อให้ได้มา ก็จะถูกกว่าราคาในท้องตลาดทั่วไปในสินค้าหรือบริการชนิดนั้นๆ แต่แง่ของกฎหมายภาษีอากรแล้ว บรรดาประโยชน์เพิ่มหรือสวัสดิการที่พนักงานได้รับจากนายจ้าง อาจถือเป็นเงินได้พึงประเมินของพนักงานและต้องนำไปรวมเสียภาษีกับสินจ้างพวก เงินเดือน/ค่าจ้าง ตามความหมายของคำว่า “เงินได้พึงประเมิน” ตามประมวลกฎหมายรัษฎากรมาตรา 29 ที่ระบุเงินได้พึงประเมิน “ให้รวมถึงทรัพย์สินหรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับ ซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงิน” โดยพิจารณาได้จากประเภทขอเงินได้พึงประเมินเนื่องจากการจ้างแรงงานตามมาตรา 40 (1)  แห่งประมวลรัษฎากร

ประมวลรัษฎากรมาตรา 40 เงินได้พึงประเมินนั้นคือ เงินได้ประเภทต่อไปนี้ รวมถึงเงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้สำหรับเงินได้ ประเภทต่างๆ ดังกล่าวไม่ว่าในทอดใด

(1)  เงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงาน ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน ค่าจ้าง เบี้ยเลี้ยง โบนัส เบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ เงินค่าเช่าบ้าน เงินที่คำนวณได้จากมูลค่าของการได้อยู่บ้านที่นายจ้างให้อยู่โดยไม่เสียค่า เช่า เงินที่นายจ้างจ่ายชำระหนี้ใดๆ ซึ่งลูกจ้างมีหน้าที่ต้องชำระ และเงิน ทรัพย์สินหรือประโยชน์ใดๆ บรรดาที่ได้เนื่องจากการจ้างแรงงาน

The Revenue Code Section 40. Assessable income shall be income of the following categories including any amount of tax and duty paid. At whatever stage. For the-payer by the payer of income or by any other person:

(1)  Income derived by virtue of hire of service, whether in the form of salary, wage , perdiem , bonus , bounty , gratuity , pension , house rent allowance , monethary value of rent-free vesidence provided  by an employer, payment made by an employeer for settlement  of any obligation duo from an employee , or and money, property or benefits derived by virture of hire or service.

จะเห็นได้ว่า เงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงานตามกฎหมายภาษีอากรดังกล่าว ไม่ว่าลูกจ้างจะได้รับเป็นตัวเงิน อาทิ เงินเดือน ค่าจ้าง เบี้ยเลี้ยง โบนัส เบี้ยหวัด หรือบำเหน็จบำนาญ หรือได้รับประโยชน์เพิ่มในรูปสวัสดิการจากนายจ้าง เช่น เงินค่าเช่าบ้าน เงินที่คำนวณได้จากมูลค่าของการได้อยู่บ้านที่นายจ้างให้อยู่โดยไม่เสียค่า เช่า เงินที่นายจ้างจ่ายชำระหนี้ใดๆ ซึ่งลูกจ้างมีหน้าที่ต้องชำระและเงิน  ทรัพย์ หรือประโยชน์ใดๆ บรรดาที่ลูกจ้างได้รับเนื่องจากการจ้างแรงงาน ลูกจ้างก็ต้องนำทั้งหมด ที่ได้รับมาเป็นเงินได้พึงประเมินเพื่อเสียภาษีตามหลัก “เกณฑ์เงินสด” (Cash Basis) ในปีภาษี ( 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม)

ประเด็นพิจารณา

ผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับแรงาน และกฎหมายแรงงานมักเข้าใจสับสนในคำว่า “สินจ้าง” กับ “ ไม่เป็นสินจ้าง” อันถือว่าเป็นสวัสดิการนั้นไม่ต้องเสียภาษี เพราะถือว่าสวัสดิการไม่เป็นสินจ้าง ความเข้าใจนี้ถูกต้องตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน แต่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายภาษี (รัษฎากร) เนื่องจากตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานตัวสินจ้างจะไปเป็นฐานในการคิดเงินค่าตอบ แทนแก่ลูกจ้างกรณีต่างๆ เช่น การทำงานล่วงเวลา การทำงานในวันหยุด หรือค่าชดเชยตามกฎหมาย ซึ่งกรณีนี้เป็นปัญหาข้อพิพาทระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างเสมอ เพราะนายจ้างไม่อยากให้สวัสดิการเหล่านั้นเป็นสินจ้าง แต่ตัวลูกจ้างก็อยากให้เป็นส่วนหนึ่งของสินจ้าง แต่ในทางกลับกันเมื่อต้องเสียภาษีตามกฎหมาย ทางลูกจ้างก็ไม่อยากให้สวัสดิการที่ตนได้รับจากนายจ้างต้องนำมารวมกับ สินจ้างเพื่อคำนวณภาษี เพราะจะทำให้ต้องเสียภาษีมากขึ้น ประเด็นเรื่อง “สวัสดิการ” ของลูกจ้าง ก็ไม่ใช่ว่าทางสรรพากรโดยประมวลกฎหมายรัษฎากรจะนำมารวมเพื่อเสียภาษีเงินได้ ทุกกรณีไป ก็ยังมีการบัญญัติกฎหมายยกเว้นให้บางกรณีที่เห็นว่าจำเป็นและเหมาะสมกับ ภาวการณ์ ทั้งนี้เพราะถ้ามีการยกเว้นให้มากๆ ก็สร้างความไม่เป็นธรรมแก่ลูกจ้างอีกจำนวนหนึ่งที่เขาไม่ได้รับสวัสดิการ เนื่องจากไม่มีกฎหมายใดมาบังคับให้นายจ้างต้องใส่สวัสดิการแก่ลูกจ้างนั่น เอง

ประเด็นที่ไม่ควรมองข้าม

บรรดาสินจ้างและสวัสดิการที่นาย จ้างได้จ่ายให้แก่ลูกจ้างไปนั้น ย่อมถือเป็นรายจ่ายของกิจการของนายจ้าง ซึงถ้าเป็นไปตามเงื่อนไขของกฎหมายในเรื่อง “บัญชีภาษีอากร” (Tax Accounting) นายจ้างก็สามารถนำมาหักเป็นรายจ่ายเพื่อให้ตนเสียภาษีลดลงได้ ดังนั้นนักบัญชีทางด้านนี้ก็จะต้องทำระเบียบรองรับการจ่ายเงินค่าสวัสดิการ ลูกจ้าง โดยนึกถึงความมุ่งหมายที่ชัดเจนของคำว่า “เพื่อกิจการ ไม่เป็นการส่วนตัว และไม่เลือกปฏิบัติรวมทั้งผ่านมติที่ประชุมตามวาระของเรื่อง” ฉะนั้นเมื่อสินจ้างและสวัสดิการเป็นรายจ่ายของนายจ้าง ก็ย่อมเป็นเงินได้พึงประเมินของลูกจ้างนั่นเอง (ตามหลักเกณฑ์ทางการบัญชี)

ประเด็นสวัสดิการลูกจ้างตามประมวลรัษฎากร

แนวปฏิบัติของกรมสรรพากรเกี่ยว กับเรื่องนี้ก็คือ ถ้าจะมีการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ให้กับสวัสดิการตัวใดที่ลูกจ้างได้ รับ จะต้องมีบทบัญญัติของกฎหมายรองรับไว้ชัดเจน มิฉะนั้นแล้วตัวของลูกจ้างจะต้องนำไปรวมกับเงินเดือน/ค่าจ้างเพื่อการเสีย ภาษี ทั้งการถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดารประจำปี

ประโยชน์เพิ่มของพนักงาน

ประโยชน์เพิ่มของพนักงาน หมายความถึง ประโยชน์ ,ทรัพย์ ,สิทธิ หรือ บริการใดๆ ที่นายจ้างได้ให้แก่พนักงานอันเนื่องมาจากการทำงานในตำแหน่งหน้าที่ทั้งที่ เป็นตัวเงินและไม่เป็นตัวเงินซึ่งการให้ประโยชน์ดังกล่าว อาจอยู่ในรูปของสวัสดิการหรือการให้เปล่า ในแง่ภาษีอากร ประโยชน์เพิ่มนี้อาจถือเป็นเงินได้พึงประเมินของพนักงาน และต้องนำไปเสียภาษีตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากรที่ระบุว่าเงินได้พึงประเมิน “ให้รวมถึงทรัพย์สิน หรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับ ซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงิน”

อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ว่าประโยชน์เพิ่มที่พนักงานได้รับในรูปแบบต่างๆ จะต้องเสียภาษีเงินได้ทุกกรณีไป ประโยชน์เพิ่งบางอย่าง กฎหมายบัญญัติให้ได้รับยกเว้นโดยพนักงานไม่ต้องนำไปคำนวณเสียภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดาเช่นกันตารางต่อไปนี้คือตัวอย่างของประโยชน์เพิ่มที่นายจ้างให้ และภาระภาษีสำหรับพนักงาน

ตัวอย่าง ประโยชน์เพิ่มที่นายจ้างให้และภาระภาษีสำหรับพนักงาน

ลำดับ
รายการประโยชน์
เสียภาษี
ยกเว้นภาษี
หมายเหตุ
1
ค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทางและที่พัก
/
ม.42(1)
2
ช่วยค่าน้ำมันรถพนักงานฯ
/
นำรถมาใช้ในกิจการนายจ้าง
3
จ่ายค่าพาหนะและค่าทางด่วนให้
/
ทำตามคำสั่งนายจ้าง
4
รถรับ/ ส่งพนักงาน
/
เพื่อกิจการนายจ้างโดยตรง
5
จัดฝึกอบรมพนักงาน
/
เพื่อกิจการของนายจ้างโดยตรง
6
จ่ายเบี้ยประกันภัยให้ลูกจ้าง
/
พนักงานเป็นผู้รับประโยชน์
7
ให้พนักงานกู้ยืมเงิน
/
ม.42 (10) อุปการะธรรมจรรยา
8
เครื่องแบบพนักงาน
/
2 ชุด / เสื้อนอก 1 ตัว
9
ค่ารักษาพยาบาลสำหรับลูกจ้าง
/
กฎกระทรวง ฉบับ 126ฯ
10
ช่วยเหลืองานสมรส/คลอดบุตรและงานศพของพนักงาน
/
ม.42 (10) ตามประเพณี
11
เบี้ยขยัน
/
ม.40(1)  เหมือนโบนัส
12
อยู่บ้านนายจ้างโดยไม่เสียค่าเช่า
/
คิดร้อยละ 20 ของเงินเดือน
13
ออกภาษีแทนลูกจ้าง
/
ม.40 (1) ประโยชน์เพิ่ม
14
ลูกจ้างรับประทานอาหารฟรี
/
ม.40 (1) ประโยชน์เพิ่ม
15
พนักงานซื้อหุ้น/แลกหุ้น
/
ม.40 (1) ประโยชน์เพิ่ม
16
สมาชิกกอล์ฟคลับ/สโมสรกีฬา หรือสโมสรเพื่อการพักผ่อน
/
คำสั่ง ป.56/2538
ไม่เฉพาะตัวบุคคล
17
ช่วยค่าเล่าเรียนบุตรพนักงาน
/
ม.40 (1) ประโยชน์เพิ่ม
18
ให้ทุนการศึกษาแก่พนักงาน
/
ม.42 (11) กลับมาทำงาน
19
เงินชดเชย
/
กฎกระทรวง ฉบับ 126 ฯ
20
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
/
เกษียณอายุ/ตาย/ทุพพลภาพกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 ฯ

วิธีตรวจธนบัตรปลอม

สิ่งต่อไปนี้จะปรากฏอยู่บน ธนบัตรของจริงค่ะ
1. ลายน้ำ พระบรมสาทิสลักษณ์ มองเห็นได้ชัดเจน เมื่อยกส่องกับแสงสว่าง และรูปลายไทยจะโปร่งแสงเป็นพิเศษ
2. แถบสีโลหะในเนื้อกระดาษ นำเนื้อกระดาษตามแนวตั้ง เมื่อยกส่องกับแสงสว่าง จะเห็นตัวเลขและตัวอักษรโปร่งแสง
3. พิมพ์เส้นนูน พระบรมสาทิสลักษณ์ ตัวอักษรและตัวเลขแจ้งราคา เมื่อสัมผัสด้วยปลายนิ้วจะรู้สึกสะดุด
4. ตัวเลขแฝง ซึ่งอยู่ในลายไทย มองเห็นได้เมื่อยกธนบัตรเอียงเข้าหาแสงสว่าง โดยมองจากมุมล่างซ้ายเข้าหากึ่งกลางธนบัตร
5. ภาพซ้อนทับพิมพ์แยกส่วนไว้บนด้านหน้าและด้านหลัง เมื่อ ยกส่องกับแสงจะมองเห็นภาพสวยงาม โดยแบงก์พันจะเป็นรูปดอกบัว แบงก์ 500 เป็นรูปดอกพุดตาล แบงก์ 100 เป็นตัวเลข 100 แบงก์ 50 เป็นตัวเลข 50 แบงก์ 20 เป็นตัวเลข 20
6. ตัวเลขจิ๋ว บรรจุในตัวเลขไทยด้านหน้า มองเห็นได้ชัดเจนด้วยแว่นขยาย
7. แทบฟอยล์ สีเงินมองเห็นเป็นหลายมิติ และสะท้อนแสงเมื่อพลิกไปมา
8. หมึกพิมพ์พิเศษ ตัว เลข 1000 จะมองเห็น ด้านบนสีทอง ด้านล่างสีเขียว เมื่อพลิกขอบล่างขึ้นจะเห็นเป็นสีเขียวทั้งหมด ส่วนแบงก์ 500 ตัวเลข 500 จะมองเห็นตัวเลขสีเขียว เมื่อพลิกขอบล่างจะมองเห็นเป็นสีม่วง นอกจากนี้ ยังมีวิธีนำบริเวณลอยนูนของแบงก์ เช่น คำว่ารัฐบาลไทย ถูกับกระดาษสีขาว ของจริงจะปรากฏสีให้เห็น

คลิ๊กที่รูปเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

1000serie15L

1000changeL

500sizeL

100sizeL

50sizeL

20sizeL

Refer..http://www.bot.or.th/Thai/Banknotes/production_and_security/Pages/identify.aspx

เพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษี RMF-LTF เป็น 700,000

กฎกระทรวง

ฉบับที่ 267 (พ.ศ. 2551)

ออกตามความในประมวลรัษฎากร

ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร

—————————–

อาศัย อำนาจตามความในมาตรา 4 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 20) พ.ศ. 2513 และมาตรา 42 (17) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2496 อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของ บุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 และมาตรา 41 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้

ข้อ 1 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสี่ของ ( 55 ) ของข้อ 2 แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 266 (พ.ศ. 2551) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร

“ในปีภาษี 2551 หากผู้มีเงินได้มีการซื้อหน่วยลงทุนระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ให้เงินได้ตามวรรคหนึ่งเท่ากับส่วนที่ไม่เกินเจ็ดแสนบาท แต่ไม่เกินร้อยละสิบห้าของเงินได้พึงประเมิน และในกรณีที่ผู้มีเงินได้ดังกล่าวได้จ่ายเงินสะสมตามวรรคสองด้วย เมื่อรวมเงินได้กับเงินสะสมแล้วต้องไม่เกินเจ็ดแสนบาท ทั้งนี้ เงินได้ที่ได้รับยกเว้นดังกล่าว ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด และให้นำความในวรรคสามมาใช้บังคับด้วย”

ข้อ 2 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสี่ของ ( 66 ) ของข้อ 2 แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 266 (พ.ศ. 2551) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร

“ในปีภาษี 2551 หากผู้มีเงินได้มีการซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ให้เงินได้ตามวรรคหนึ่งเท่ากับส่วนที่ไม่เกินเจ็ดแสนบาท แต่ไม่เกินร้อยละสิบห้าของเงินได้พึงประเมิน ทั้งนี้ เงินได้ที่ได้รับยกเว้นและการถือหน่วยลงทุนดังกล่าว ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด และให้นำความในวรรคสามมาใช้บังคับด้วย”

ให้ไว้ ณ วันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

สุชาติ ธาดาดำรงเวช
(นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

——————————————————————————————————————–

หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้มีการลงทุนผ่านกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยง ชีพและกองทุนรวมหุ้นระยะยาวเพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นการสนับสนุนการลงทุนในตลาดทุนภายในประเทศอันจะทำให้เศรษฐกิจขยาย ตัวเพิ่มขึ้น และป้องกันไม่ให้ตลาดทุนภายในประเทศได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ทางการเงิน ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน สมควรเพิ่มวงเงินที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับเงินค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพและกองทุนรวมหุ้น ระยะยาวตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์กรณีที่ได้มีการลงทุนใน กองทุนทั้งสองดังกล่าวในระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551 จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้

(ร.จ.ฉบับกฤษฎีกา เล่ม 125 ตอนที่ 130 ก วันที่ 16 ธันวาคม 2551)