เรื่องอื่นๆ | รับทำเงินเดือน เรื่องอื่นๆ | รับทำเงินเดือน

รับสมัครผู้ที่ต้องการทำงานพิเศษ Part Time กับสำนักงานบัญชี

สำนักงานบัญชี รับทำเงินเดือน รับจดทะเบียนบริษัท รับทำบัญชี

  • รับสมัครผู้ที่ต้องการทำงานพิเศษ (Part Time)
  • สามารถทำงานวันจันทร์-ศุกร์ ในเวลา 8.00-17.00 น.ได้ (ไม่จำเป็นต้องทำทุกวัน)
  • คีย์ข้อมูลบัญชีเพื่อออกงบการเงิน
  • คีย์ข้อมูลเงินเดือน เพื่อจัดทำเงินเดือน
  • อัตราค่าตอบแทนวันละ 400-600 บาท ขึ้นอยู่กับประสบการณ์การทำงาน
  • สนใจติดต่อ 080-268-7000

— ปิดรับชั่วคราว —

 

เบี้ยยังชีพคนชรา

(จากคำถามที่ถามมาก็เลยไปหาข้อมูลมาลงให้ครับ)

        นับเป็นอีกหนึ่งข่าวใหญ่ ที่หลายคนให้ความสนใจกันอย่างมาก หลังกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) ออกประกาศ ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไฟเขียวจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุทั่วประเทศ เดือนละ 500 บาท เป็นเวลา 6 เดือน และยังให้วาระดังกล่าวเป็นประเด็นเร่งด่วนอีกด้วย ทั้งนี้เพราะนอกจากจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ทางหนึ่งแล้ว ยังถือเป็นการตอบแทนผู้สูงอายุที่ทำงานเพื่อบ้านเมืองมาทั้งชีวิตด้วย
        สำหรับเบี้ยยังชีพคนชรา ถือเป็นบริการสวัสดิการสังคมประเภทหนึ่ง ที่รัฐบาลจัดสรรให้กับคนชราอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป แม้จะดูเหมือนไม่มีบทบาทสักเท่าไหร่ในหลายยุคที่ผ่านมา แต่เวลานี้ได้ถูกชุบให้กระชุ่มกระชวยขึ้นอีกครั้งด้วยแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจของ รัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่แจกจ่ายนโยบายประชานิยมอย่างทั่วถึง ไม่เว้นแม้แต่ผู้สูงอายุ โดยแต่เดิมนั้นจะจ่ายให้เฉพาะผู้ที่มีฐานะยากไร้ รายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพ ถูกทอดทิ้ง หรือขาดผู้อุปการะเลี้ยงดู หรือไม่สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองได้ ราว 1.8 ล้านคนเท่านั้น
แต่จุดต่างของเบี้ยยังชีพคนชราในรัฐบาลชุดนี้ คือ การจ่ายให้ผู้สูงอายุทั่วประเทศทุกคน เว้นเฉพาะรายที่เป็นราชการเท่านั้น อย่างไรก็ดี การจ่ายเบี้ยยังชีพเดือนละ 500 บาท ครอบคลุมผู้สูงอายุทั่วประเทศที่ว่านี้ จะมีระยะเวลาสั้นๆ เพียง 6 เดือน โดยเริ่มเดือนเมษายนจะจ่ายเงินเป็นงวดแรก ไปจนถึงเดือนกันยายน 2552 ซึ่งหลายคนอาจเกิดคำถามต่อว่า เมื่อหมดจาก 6 เดือนนี้ จะเป็นอย่างไรต่อไป คำตอบคือ คงต้องรอดูผลจาก ร่าง พ.ร.บ.ฉบับใหม่ ที่รัฐบาลลั่นประกาศิตว่าจะจัดสรรงบประมาณลงไปในงบประจำปีตาม พ.ร.บ.ผู้สูงอายุ (ที่จะออกมาใหม่) ซึ่งจะทำให้ผู้สูงอายุทุกคนได้รับเบี้ยยังชีพ
        ทางด้าน นายอิสสระ สมชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้ข้อมูลว่า รัฐบาลได้อนุมัติวงเงินงบประมาณกลางปีจำนวน 9 พันล้านบาท เพื่อเตรียมจ่ายให้กับผู้สูงอายุทั้งสิ้น 7.1 ล้านคน โดยผู้สูงอายุที่มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนด ให้ไปลงทะเบียนที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ – 15 มีนาคม 2552 มีรายละเอียดดังต่อไปนี้

คุณสมบัติของผู้มีสิทธิ
        1. ผู้มีสิทธิต้องมีสัญชาติไทย
        2. ผู้มีสิทธิต้องมีอายุ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป โดยต้องเกิดก่อนวันที่ 31 มีนาคม 2492 ส่วนผู้สูงอายุที่ทราบเพียงปีเกิด แต่ไม่ทราบวันและเดือนเกิด ให้ถือว่าเกิดวันที่ 1 มกราคมของปีนั้นๆ
        3. ต้องไม่เป็นผู้ได้รับเงินเดือน สวัสดิการ หรือสิทธิประโยชน์อื่นใดจากรัฐ ทั้งบำเหน็จ บำนาญ เบี้ยยังชีพ หรือผลประโยชน์อื่นใดจากรัฐ ทั้งรายวันและรายเดือน
        4. ต้องไม่เป็นผู้อยู่ในสถานสงเคราะห์คนชราที่รัฐดูแลอาหารและที่พักให้อยู่แล้ว

ขั้นตอนการยื่นคำขอรับเงิน
        1. ผู้สูงอายุที่มีคุณสมบัติครบตามรายละเอียดข้างต้น สามารถยื่นคำขอรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุได้ด้วยตนเอง
        2. ในกรณีที่ผู้สูงอายุมีความจำเป็นที่ไม่สามารถมาลงทะเบียนยื่นคำขอรับเงิน เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุได้ด้วยตนเอง สามารถมอบอำนาจเป็นลายลักษณ์อักษรให้ผู้อื่นยื่นคำขอรับเงินเบี้ยยังชีพผู้ สูงอายุแทนได้ (สามารถขอรับแบบฟอร์มได้ที่สำนักงานเขต องค์การบริหารส่วนตำบล หรือใช้หนังสือมอบอำนาจทั่วไปก็ได้)
        3. การยื่นคำขอรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุยื่นได้ตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2552-15 มีนาคม 2552

หลักฐานประกอบการยื่นคำขอ
        – บัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรอื่นที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐ ที่มีรูปถ่ายพร้อมสำเนา
        – สมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร พร้อมสำเนาสำหรับในกรณีที่ผู้ขอรับเงินเบี้ยยังชีพ ผู้สูงอายุประสงค์ขอรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุผ่านธนาคาร (ทุกธนาคาร)

สถานที่ลงทะเบียน
        – เขตภูมิภาค ยื่นได้ที่เทศบาล/อบต. ที่ผู้สูงอายุมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน
        – เขตกรุงเทพมหานคร  ยื่นได้ที่สำนักงานเขต ที่ผู้สูงอายุมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ระหว่างเวลา 08.00 – 16.00 น. ไม่เว้นวันหยุดราชการ และวันหยุดนักขัตฤกษ์

การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ
        การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุให้แก่ผู้มีสิทธิ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจ่ายเป็นรายเดือนๆ ละ 1 ครั้ง ในอัตราเดือนละ 500 บาท โดยรัฐบาลกำหนดจ่ายงวดแรกในวันที่ 13 เมษายน ดังนี้
        – จ่ายเป็นเงินสด หรือโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของผู้มีสิทธิได้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ
        – จ่ายเป็นเงินสด หรือโอนเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของบุคคลที่ได้รับมอบหมายจากผู้มีสิทธิได้รับ เงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเป็นลายลักษณ์อักษร
        อย่างไรก็ดี หลังจากที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในแต่ละจังหวัดทั่วประเทศได้เปิดรับลง ทะเบียนผู้สูงอายุรับเบี้ยยังชีพเป็นวันแรก ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ปรากฎว่า ปัญหาที่พบมากที่สุด คือ เรื่องเอกสารไม่ครบ และผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะเขียนหนังสือไม่ได้ จึงขอแนะนำว่าผู้สูงอายุที่จะมาลงทะเบียนให้นำบุตรหลานมาด้วยจะเป็นการดี ทั้งนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมด้านเอกสารให้เรียบร้อย นอกจากนี้ จะเป็นการช่วยดูแลเรื่องรายละเอียดในการลงทะเบียน หากผิดพลาดอะไรก็สามารถแก้ไขได้ทันทีอีกด้วย
        อย่าลืมนะคะ เริ่มลงทะเบียนขอรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุได้ตั้งแต่วันนี้  – 15 มีนาคม 2552 ดังนั้น ครอบครัวไหนที่มีผู้สูงอายุ ตามคุณสมบัติที่กล่าวมาข้างต้น ก็ยังเหลือเวลาให้ได้มาแสดงสิทธิ์กันค่ะ

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
        – ศูนย์ประชาบดี  โทร. 1300
        – ศูนย์ดำรงธรรม โทร. 1567 ตลอด 24 ชั่วโมง
        – ศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน โทร.1111 ตลอด 24 ชั่วโมง
        – สำนักพัฒนาสังคม กรุงเทพมหานคร โทร 0-2245-5166 ในวันและเวลาราชการ (เฉพาะกรุงเทพมหานคร)

คลายข้อสงสัย
ถาม : ผู้ที่ได้รับสวัสดิการ หรือสิทธิประโยชน์อื่นใดจากหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หมายถึงใครบ้าง?
ตอบ : ผู้รับเงินบำนาญ ผู้ได้รับเงินเบี้ยยังชีพตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานคร ผู้สูงอายุที่อยู่ในสถานสงเคราะห์ของรัฐ หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ที่ได้รับเงินเดือน ค่าตอบแทน รายได้ประจำหรือผลประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นที่รัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่น จัดให้เป็นประจำ
ถาม : ในกรณีบุตรรับราชการหรือสามีรับราชการ หรือภรรยารับราชการ สามารถยื่นค่าขอขึ้นทะเบียน รับสิทธิได้หรือไม่?
ตอบ : หากผู้ยื่นค่าขอรับเงินเบี้ยยังชีพไม่ได้รับบำนาญ และมีคุณสมบัติตามคำตอบในคุณสมบัติของผู้มีสิทธิ สามารถยื่นค่าขอรับเงินเบี้ยยังชีพได้
ถาม : รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
ตอบ : เมื่อผ่านการตรวจสอบสิทธิว่าเป็นผู้มีคุณสมบัติ โดยรับได้ตั้งแต่ปลายเดือนเมษายน 2552 เป็นต้นไป
ถาม : การรับเงินเบี้ยยังชีพผ่านธนาคาร ใครเป็นผู้รับผิดชอบค่าธรรมเนียมการโอนเงิน?
ตอบ : ผู้สูงอายุเป็นผู้รับผิดชอบค่าธรรมเนียมในการโอนเข้าบัญชีธนาคาร ยกเว้นธนาคารกรุงไทยในส่วนภูมิภาค ที่ผู้สูงอายุไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร
ถาม : การยื่นค่าขอขึ้นทะเบียน เพื่อรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ สามารถให้ผู้อื่นยื่นค่าขอแทนได้หรือไม่?
ตอบ : ได้ แต่ต้องมีหนังสือมอบอำนาจ

ระเบียบคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ พ.ศ. 2552 
แบบคำขอขึ้นทะเบียนรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ

ที่มา..www.kapook.com

ที่มา..กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

7 ประเภทผู้นำที่องค์กรต้องการ

เผอิญได้ฟังเทปรายการ new dimension ของ ดร.บุญชัย แล้วผมชอบตอนนี้มาก มีจดโน๊ตย่อเอาไว้ ก็เลยเอามาลงที่นี่ เผื่อจะเข้ามาอ่านอีกเมื่อไหร่ก็ได้ และสำหรับใครที่อยู่ในระดับผู้บริหารหรือผู้จัดการจะได้รู้ว่าตนเองอยู่ในประเภทไหนใน 7 ประเภทนี้

สำหรับผู้แต่งหรือเขียนบทความนี้คือ David Rooke และ William R.Torbert  ชื่อบทความคือ Seven Transformations of Leadership จากประสบการณ์ของผู้แต่งและจากการสำรวจแบบสอบถามผู้จัดการและผู้เชี่ยวชาญกว่า 1,000 ราย ในอเมริกาและยุโรป ที่มีอายุระหว่าง 25-55 ปี ผู้แต่งได้แบ่งผู้นำ ออกเป็น 7 ประเภท ดังนี้

1. นักฉวยโอกาส (Opportunist) มีอยู่ประมาณ 5%  มีนิสัยเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่ฟังผู้อื่น มองโลกในแง่ร้าย ใช้เลห์เหลี่ยมกลอุบายทุกรูปแบบเพื่อให้ได้มาซื่งตำแหน่งฐานะและการยอมรับ การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นจะต้องอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์อย่างเดียว มองเพื่อนร่วมงานหัวหน้าและลูกน้องเป็นเพียงวัตถุที่ต้องแสวงหาผลประโยชน์ เป็นพวกบ้าอำนาจ ไม่ยอมผู้อื่น ชอบข่มขู่ ควบคุมผู้อื่น มองโลกแคบ

2. นักการทูต (Diplomat) มีอยู่ประมาณ 12% น่าจะเป็นอีกด้านหนึ่งของนักฉวยโอกาส คือแทนที่จะควบคุมบังคับผู้อื่น แต่ใช้วิธีการบังคับการแสดงออกของตัวเองแทน ชอบเอาใจนาย ประจบนาย ชอบสร้างภาพ เป็นคนสุภาพเรียบร้อย ที่สำคัญจะไม่เอาเรื่องวุ่นวายมาบอกนาย (ถ้าบอกก็จะใช้วิธีเลี่ยง กลัวเจ้านายไม่สบายใจ) ผู้จัดการประเภทนี้จะไม่มีปัญหามากในที่ประชุม เป็นคนเงียบ ไม่บอกปัญหาซึ่งอาจสร้างความเสียหายให้กับองค์กรได้

3. ผู้ชำนาญการณ์ (Expert) มีอยู่ประมาณ 38% เป็นผู้มีความรู้ความชำนาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเฉพาะ และจะควบคุมผู้อื่นด้วยความรู้จริงของตนเอง มักจะคิดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองแน่ ตัวอย่างเช่นคนในอาชีพ นักบัญชี นักวิเคราห์การลงทุน นักวิจัยด้านการตลาด โปรแกรมเมอร์ คนประเภทนี้ จะเป็นประเภทรู้จริง ชอบการพัฒนาปรับปรุง มีประสิทธิภาพในการทำงานสูง ชอบทำงานของตัวเองให้ดีที่สุด ข้อเสียคือ มีความมั่นใจในตัวเองมากเกินไป คิดว่าตัวเองรู้มากกว่าผู้อื่น

4. ผู้จัดการ (Achiever) มีอยู่ประมาณ 30% เป็นคนที่ได้รับมอบหมายให้ทำงานใดทำงานหนึ่งได้ดีภายในเวลาที่กำหนดไว้ สามารถสร้างความสามัคคีกลมเกลียว สร้างทีมเวิค์ล สร้างบรรยากาศในการทำงาน รับฟังความคิดเห็นของลูกน้อง ทำงานกับผู้อื่นได้ดี ข้อเสียคือเป็นผู้ที่ทำงานแบบรายวันได้ดี ไม่ค่อยมีวิสัยทัศน์ไกล ไม่สามารถคิดนอกกรอบได้ กลัวการสูญเสียอำนาจ กลัวว่าจะทำงานไม่ตรงกับที่ฝ่ายบริหารต้องการ ซึ่งจะทำให้ไม่เจริญก้าวหน้าในงาน ไม่ชอบเสนอสิ่งที่อยู่นอกขอบเขตความความรับผิดชอบของตนเอง

5. ปัจเฉกบุคคล (Individualist) มีอยู่ประมาณ 10% เป็นพวกชอบทำงานคนเดียว ไม่ไว้ใจผู้อื่น แต่ก็เป็นคนที่มองโลก 2 ด้านเสมอ ชอบทำงานแบบ One man show เป็นคนทำงานเก่ง มีจิตนาการสูง เป็นผู้ผลักดันงานได้ดี เป็นคนประเภท ยอมหักไม่ยอมงอ ไม่ยอมผู้อื่น มีความเชื่อมั่นใจตัวเองสูงเกินไป ไม่ยอมให้ใครมาขัดขวางการทำงานหรือความคิดของตน พวกนี้จะสร้างศตรูไว้มาก ชอบการปะทะโต้แย้ง ชอบความขัดแย้ง มักมีปัญหากับเพื่อนร่วมงานเสมอ

6. นักวางแผน (Strategist) มีอยู่ประมาณ 4% เป็นคนที่เข้าใจองค์กรได้เป็นอย่างดี เข้าใจว่า อะไรทำได้อะไรทำไม่ได้ เป็นคนมีวิสัยทัศน์ มีความารถในการพัฒนาลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน ให้สามารถทำงานเพื่อองค์กร สามารถรับความขัดแย้งได้ทุกรูปแบบ เป็นคนเก่ง สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับองค์กรได้ เห็นภาพรวมขององค์กรได้ทั้งหมด เป็นคนมีคุณธรรม

7. นักเล่นแร่แปรธาตุ (Alchemist) มีอยู่ประมาณ 1% ถือว่าเป็นผู้นำที่ดีที่สุด Great Leader พร้อมที่จะพัฒนาตัวเอง พัฒนาองค์กร และเป็นคนไม่ยอมหยุดนิ่ง สามารถปรับปรุง แก้ไข ประยุกต์ หรือสร้างใหม่ มีการทำงานแบบไร้รูปแบบที่แน่นอน ปรับเปลี่ยนได้ตลอดตามแต่ที่องค์กรมีอยู่ (คน วัตถุ สิ่งของ) รับได้ทุกสถานการณ์ ไม่มีความขัดแย้ง ไม่มีความอึดอัด เข้าได้กับทุกระดับ รู้ตัวเองอยู่ตลอดเวลา เป็นคนมีคุณธรรมสูงมาก
.