admin | รับทำเงินเดือน - Part 97 admin | รับทำเงินเดือน - Part 97

ขายคืนหน่วยลงทุน RMF ก่อนครบกำหนด

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :

ถาม ตามที่มีข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ว่าคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหลักการในการแก้ไขหลักเกณฑ์การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกรณีการลงทุนในกองทุนรวม RMF นั้น ไม่ทราบว่ามีหลักเกณฑ์ใดที่เปลี่ยนแปลงไปบ้างครับ

ตอบ เมื่อวันที่ 18 ก.ย.50 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหลักการในการแก้ไขหลักเกณฑ์การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกรณีการลงทุนในกองทุนรวม RMF โดยกระทรวงการคลังได้ชี้แจงต่อคณะรัฐมนตรีว่า ตามที่ได้มีการออกกฎกระทรวงตามความในประมวลรัษฎากร ฉบับที่ 246 (พ.ศ. 2547) กำหนดให้ผู้ที่ขายหน่วยลงทุนคืนให้แก่กองทุนรวม RMF ได้รับการยกเว้นภาษี หากถือหน่วยลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี นับแต่วันซื้อหน่วยลงทุน ซึ่งทำให้ผู้เสียภาษีเข้าใจว่าการขายคืนหน่วยลงทุนเมื่อได้ถือครองหน่วยลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี ที่ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมนั้น ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเหมือนกับกรณีการขายคืนหน่วยลงทุนเนื่องจากเหตุสูงอายุ คือ มีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ ทำให้เกิดความเข้าใจว่าผู้ลงทุนไม่มีความจำเป็นต้องถือหน่วยลงทุนจนถึงอายุ 55 ปีบริบูรณ์แต่อย่างใด

ซึ่งไม่ตรงกับเจตนารมณ์ที่ต้องการให้มีการออมระยะยาว เพื่อใช้ในวัยสูงอายุโดยมีสิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็นแรงจูงใจ จึงได้มีการเสนอร่างแก้ไขหลักเกณฑ์การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกรณีการลงทุนในกองทุนรวม RMF เพื่อพิจารณาให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ดังกล่าวโดยจะมีผลกับหน่วยลงทุนที่ผู้มีเงินได้ซื้อมาตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.50 เป็นต้นไป

ดังนั้น หลักเกณฑ์การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกรณีการลงทุนในกองทุนรวม RMF จะมีการแยกพิจารณาออกเป็น 2 ส่วน คือ

1. กรณีหน่วยลงทุนที่ผู้มีเงินได้ซื้อมาก่อนวันที่ 1 ต.ค.50 หากผู้มีเงินได้มีการลงทุนในกองทุนรวม RMF อย่างต่อเนื่องมาไม่น้อยกว่า 5 ปีแล้ว แม้ผู้มีเงินได้จะมีอายุยังไม่ครบ 55 ปีบริบูรณ์ หากมีการขายคืนหน่วยลงทุนเฉพาะส่วนที่กล่าวมานั้น จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเหมือนกับกรณีการขายคืนหน่วยลงทุนเมื่อมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องมาไม่น้อยกว่า 5 ปีและมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ คือ ได้ทั้งการยกเว้นภาษีกำไรจากการลงทุน และไม่ต้องคืนสิทธิลดหย่อนภาษีที่เคยได้รับย้อนหลัง 5 ปีด้วย

แต่หากผู้มีเงินได้ขายคืนหน่วยลงทุนเฉพาะส่วนที่กล่าวมานั้นที่มีการลงทุนอย่างต่อเนื่องมาน้อยกว่า 5 ปี ไม่ว่าผู้มีเงินได้จะมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์แล้วหรือไม่ก็ตาม ผู้มีเงินได้จะต้องนำกำไรจากการลงทุนที่ได้ไปรวมเป็นเงินได้เพื่อคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีนั้น รวมทั้งต้องคืนสิทธิลดหย่อนภาษีที่เคยได้รับย้อนหลัง 5 ปีให้กับกรมสรรพากรภายในเดือนมี.ค.ของปีถัดจากปีที่ขายคืนหน่วยลงทุนนั้นด้วย

2. กรณีหน่วยลงทุนที่ผู้มีเงินได้ซื้อมาตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.50 เป็นต้นไป หากผู้มีเงินได้มีการลงทุนในกองทุนรวม RMF อย่างต่อเนื่องมาไม่น้อยกว่า 5 ปีแล้ว มีการขายคืนหน่วยลงทุนเฉพาะส่วนที่กล่าวมานั้น ก่อนที่จะมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ ผู้มีเงินได้จะได้รับยกเว้นภาษีกำไรจากการลงทุนเท่านั้น โดยยังคงมีหน้าที่จะต้องนำสิทธิลดหย่อนภาษีที่เคยได้รับย้อนหลัง 5 ปี คืนให้กับกรมสรรพากรภายในเดือนมี.ค.ของปีถัดจากปีที่ขายคืนหน่วยลงทุนนั้น

ทั้งนี้ ผู้ลงทุนจะได้รับยกเว้นภาษีกำไรจากการลงทุนและไม่ต้องคืนสิทธิลดหย่อนภาษีที่เคยได้รับย้อนหลัง 5 ปี ก็ต่อเมื่อผู้มีเงินได้ขายคืนหน่วยลงทุนที่มีการลงทุนในกองทุนรวม RMF อย่างต่อเนื่องมาไม่น้อยกว่า 5 ปีและผู้มีเงินได้มีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์แล้วเท่านั้น

แต่หากผู้มีเงินได้ขายคืนหน่วยลงทุนเฉพาะส่วนที่กล่าวมานั้นที่มีการลงทุนอย่างต่อเนื่องมาน้อยกว่า 5 ปี ไม่ว่าผู้มีเงินได้จะมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์แล้วหรือไม่ก็ตาม ผู้มีเงินได้จะต้องนำกำไรจากการลงทุนที่ได้ไปรวมเป็นเงินได้เพื่อคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีนั้น รวมทั้งต้องคืนสิทธิลดหย่อนภาษีที่เคยได้รับย้อนหลัง 5 ปีให้กับกรมสรรพากรภายในเดือนมี.ค.ของปีถัดจากปีที่ขายคืนหน่วยลงทุนนั้นด้วยเช่นกัน

คราวนี้ผู้มีเงินได้ที่ได้ลงทุนไว้แล้วหรือกำลังคิดที่จะลงทุนในกองทุนรวม RMF ก็ได้รับทราบถึงหลักเกณฑ์การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกรณีการลงทุนในกองทุนรวม RMF ที่ชัดเจนแบบฟันธง! แล้วนะครับ อย่างไรก็ดี หากผู้ลงทุนหรือผู้ที่สนใจจะลงทุนแล้วยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สมาคมบริษัทจัดการลงทุน หมายเลขโทรศัพท์ 0-2264-0900 ได้ตลอดเวลาทำการครับ

ที่มา.. The Krungthep turakij web site : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

สถาบันคุ้มครองเงินฝาก ผลกระทบต่อผู้ฝากเงิน

การฝากเงินกับธนาคารถือเป็นรูปแบบหนึ่งในการออม ที่ได้รับความนิยมจากประชาชนทั้งรายใหญ่และรายย่อยอย่างมาก เพราะผู้ฝากเงินส่วนใหญ่จะรู้สึกว่าเงินที่ฝากไว้กับธนาคารจะไม่มีความเสี่ยงในการสูญหายเนื่องจากรัฐบาลจะเป็นผู้คุ้มครองเงินฝากทั้งจำนวนให้แก่ผู้ฝากเงิน อย่างไรก็ตาม การให้ความคุ้มครองเงินฝากเพื่อรักษาความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อสถาบันการเงินในประเทศ ถือเป็นภาระอันหนักหน่วงของรัฐบาลที่จะต้องรับผิดชอบต่อความผิดพลาดในการดำเนินการของธนาคาร ดังนั้น พ.ร.บ. สถาบันคุ้มครองเงินฝากเกิดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้

1.เสริมสร้างความมั่นคงและเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินจนเป็นที่แน่ใจว่าผู้ฝากเงินจะไม่ตื่นตระหนกและไม่เร่งถอนเงินฝากในกรณีที่สถาบันการเงินมีปัญหา
2.ส่งเสริมให้ผู้ฝากเงินคำนึงถึงความมั่นคงและผลประกอบการของสถาบันการเงิน นอกเหนือจากที่มุ่งเน้นดอกเบี้ยเงินฝาก
3.เสริมมาตรการกำกับดูแลความมั่นคงอย่างครบวงจรให้แก่สถาบันการเงินเพื่อดำเนินการอย่างระมัดระวัง และไม่เป็นภาระภาษีแก่ประชาชน

แนวทางการจัดตั้งสถาบันคุ้มครองเงินฝากคือ การคุ้มครองผู้ฝากเงินในสถาบันการเงิน หากสถาบันการเงินนั้นประสบกับภาวะล้มละลาย ผู้ฝากเงินจะได้รับการจ่ายคืนเงินโดยเร็วตามจำนวนที่คุ้มครอง แต่สิ่งที่จะเปลี่ยนไปคือ การคุ้มครองเงินฝากทั้งจำนวนจะไม่มีอีกแล้ว เพราะสถาบันคุ้มครองเงินฝากจะคุ้มครองเงินฝากในวงเงินที่จำกัดเท่านั้น สำหรับนโยบายของสถาบันคุ้มครองเงินฝากจะค่อยๆ ลดวงเงินที่สถาบันจะคุ้มครอง จากทั้งจำนวนจนกระทั่งเหลือ 1 ล้านบาท ต่อ 1 บุคคลต่อ 1 ธนาคาร ภายใน 5 ปี สรุปได้ดังนี้

deposit-1

เมื่อการคุ้มครองเงินฝากอยู่ในวงเงินที่จำกัดผู้ฝากเงินที่มีเงินฝากจำนวนเกินกว่าที่รัฐให้ความคุ้มครอง ก็จะต้องพิจารณาเลือกธนาคารที่จะเข้าไปฝากเงินด้วยปัจจัยที่หลากหลายมากขึ้น อาทิ ความมั่นคงของธนาคาร สถานะทางการเงิน ความสามารถ ประวัติ และชื่อเสียงของผู้บริหาร เป็นต้น โดยผู้ฝากเงินสามารถศึกษาความมั่นคงของธนาคารแต่ละแห่งได้จากอันดับความน่าเชื่อถือ ซึ่งจัดทำโดยสถาบันจัดอันดับที่มีชื่อเสียง เช่น S&P Tris และ Fitch เป็นต้น

ทั้งนี้ ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย ในปี 2550 ประเทศไทยมีเงินฝากทั้งระบบ 6.56 ล้านล้านบาท จาก ผู้ฝากเงินทั้งหมด 52.59 ล้านราย การคุ้มครองเงินฝากตามวงเงินดังกล่าว สามารถครอบคลุมผู้ฝากเงินส่วนใหญ่ของประเทศ ดังนี้

deposit-2

แหล่งที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย

เมื่อเห็นตัวเลขอย่างนี้แล้ว ประชาชนส่วนใหญ่คงไม่ต้องวิตกกังวลมากเกินไปนัก เพราะความคุ้มครองวงเงิน 1 ล้านบาท ที่กล่าวมานั้นครอบคลุมบัญชีเงินฝากของประชาชนทั่วประเทศกว่า 98% แต่ส่วนที่เหลือต้องเลือกธนาคารที่มีความมั่นคง ไม่ใช่เลือกธนาคารที่ให้ดอกเบี้ยสูงเพียงอย่างเดียว และต้องกระจายเงินฝากออกไปในธนาคารต่างๆ มากขึ้น รวมถึงกระจายเงินไปยังการลงทุนประเภทอื่นๆ ด้วย เช่น พันธบัตรรัฐบาล กองทุนรวม เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ในแง่ของธนาคารผู้รับฝากเงิน ต่อไปเราคงจะเห็นศึกแย่งชิงลูกค้าเงินฝาก ซึ่งธนาคารต่างๆ โดยเฉพาะธนาคารขนาดเล็กคงจะต้องแข่งขันกันให้ดอกเบี้ยสูง เพื่อจูงใจและแย่งชิงลูกค้า

ที่มา.. TISCO Asset Management Co.,Ltd.

พรบ.กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ฉบับที่ 3 พ.ศ.2550 มีอะไรเพิ่มเติมบ้าง

พ.ร.บ. ฉบับใหม่ สมาชิกได้ประโยชน์อะไร นับตั้งแต่ประเทศไทยมี พ.ร.บ. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพครั้งแรกในปี พ.ศ. 2530 หลังจากนั้นได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม 2 ครั้ง คือ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2542 และฉบับที่ 3 พ.ศ. 2550 ซึ่งเป็นฉบับใหม่ล่าสุด มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม 2551 ที่ผ่านมา โดยสมาชิกจะได้รับประโยชน์ดีๆ เพิ่มขึ้น 5 ประการ ดังนี้

พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ. ศ. 2530

1) ออกจากงาน – คงเงินในกองทุนได้รับผลตอบแทนต่อเนื่อง
เมื่อก่อนถ้าเราออกจากงาน แต่ยังไม่สามารถโอนเงินกองทุนไปยังบริษัทนายจ้างใหม่ได้ เราสามารถขอ “คงเงิน” ของเราไว้ในกองทุนเดิมได้ไม่เกิน 1 ปี แต่เราจะถูกตัดออกจากการเป็นสมาชิกกองทุน และเงินที่คงไว้จะแช่อยู่เฉยๆ ไม่มีสิทธิได้รับผลตอบแทนของกองทุน ดังนั้น ระหว่างที่เราคงเงิน ไม่ว่ากองทุนจะกำไร หรือขาดทุน เงินเราก็จะนิ่งอยู่เท่าเดิม แต่ตาม พ.ร.บ. ใหม่ ถ้าเราขอคงเงินไว้ในกองทุน ดังนั้น เงินของเราที่คงไว้จะยังได้รับผลตอบแทนต่อเนื่อง นั่นหมายความว่าไม่ว่ากองทุนจะกำไร หรือขาดทุน เราก็จะมีส่วนได้เสียเหมือนสมาชิกคนอื่นที่อยู่ในกองทุน

อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่เราคงเงิน เราไม่ได้เป็นลูกจ้างของบริษัทนายจ้างเดิมแล้ว ทั้งเราและนายจ้างจึงไม่ต้องนำส่งเงินสะสม-สมทบเข้ากองทุนอีก นอกจากนี้ ช่วงเวลาที่คงเงิน จะไม่มี ผลต่อการนับอายุงาน หรืออายุสมาชิก เพื่อยืดสิทธิประโยชน์ในเงินส่วนของนายจ้าง หรือเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี เพราะทุกอย่างสิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่เราออกจากงานแล้ว โดยกฎหมายกำหนดให้บริษัทจัดการต้องเปิดระยะเวลาคงเงินของสมาชิกได้ไม่น้อยกว่า 90 วัน โดยสมาชิกสามารถแจ้งระยะเวลาที่จะคงเงินในกองทุนได้ไม่เกินระยะเวลาที่กำหนดในข้อบังคับกองทุน ทั้งนี้ทั้งนั้น จนถึงวันนี้ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องภาษี ว่าหากในที่สุดไม่ได้โอนกองทุนต่อไปยังกองทุนอื่น ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นในช่วงที่คงเงินต้องเสียภาษีแยกต่างหากจากเงินกองทุนที่มีสิทธิได้รับในวันสิ้นสมาชิกภาพหรือไม่ อย่างไร คำถามนี้ ยังต้องรอคำตอบเรื่องภาษีจากกรมสรรพากรค่ะ

2) เกษียณอายุ – รับเงินเป็นงวดได้
จากเดิมถ้าสิ้นสุดการเป็นสมาชิกกองทุน เราจะได้รับเงินกองทุนทั้งก้อนครั้งเดียวภายใน 30 วัน นับจากวันสิ้นสมาชิกภาพ แต่ต่อจากนี้ คนเกษียณอายุมีสิทธิเลือกว่าอยากรับเงินทั้งหมดครั้งเดียว หรือจะเลือกทยอยรับเป็นงวดๆ คล้ายกับข้าราชการที่อยู่ในระบบบำเหน็จบำนาญ และมีสิทธิเลือกรับเงินบำเหน็จ หรือบำนาญ ก็ได้ ดังนั้นคนเกษียณอายุที่ไม่รู้จะเอาเงินไปลงทุนต่อที่ไหนดี ก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป ปล่อยให้เป็นหน้าที่ผู้จัดการกองทุนช่วยบริหารเงินให้ต่อ แล้วรอรับเงิน เป็นงวดๆ สบายกว่ากันเยอะเลย สำหรับระยะเวลาที่จะรับเงินจะนานเท่าไรนั้น ขึ้นอยู่กับรูปแบบต่างๆ ของกองทุนที่ผู้จัดการกองทุนเสนอให้เลือกภายใต้กำหนดในข้อบังคับกองทุน โดยระหว่างที่รอรับเงินไม่ต้องนำส่งเงินสะสม-สมทบเข้ากองทุน เช่นเดียวกันกับกรณีคงเงินในเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษี นั่นคือ ยังไม่มีคำตอบจากกรมสรรพากรว่าคนเกษียณอายุและขอรับเงินเป็น งวดจะยังต้องเสียภาษีหรือไม่

อย่างไร ดังนั้น ระหว่างที่ยังไม่มีคำตอบเรื่องภษี คนที่เกษียณอายุตามเงื่อนไข (อายุตัวไม่น้อยกว่า 55 ปีบริบูรณ์ และเป็นสมาชิกกองทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี) ซึ่งได้รับยกเว้นภาษีทั้งจำนวนอยู่แล้ว ยังมีทางออกอื่น คือ รับเงินกองทุนออกไปทั้งหมดครั้งเดียว แล้วนำเงินไปลงทุนกองทุนรวม และทยอยขายกองทุนเป็นงวดๆ ซึ่งปัจจุบันยังได้รับการยกเว้นภาษีในเรื่องของ Capital Gain

3) Master Fund – ทางออกของคนอยากเลือกนโยบายการลงทุนเอง
ถึงแม้ที่ผ่านมาจะเปิดโอกาสให้สมาชิกเลือกนโยบายการลงทุนได้ด้วยตัวเอง (Employee’s Choice) แต่ 1 กองทุน มีได้เพียง 1 นโยบายการลงทุน ดังนั้น การมีหลายนโยบายการลงทุนให้สมาชิกเลือก นั่นหมายถึง การต้องจัดตั้งหลายกองทุน ซึ่งอาจไม่สะดวกต่อนายจ้างในการดำเนินการ เพราะต้องทำข้อบังคับกองทุนหลายชุด มีคณะกรรมการหลายชุด แต่ต่อไปนี้การจัดกองทุนในรูปแบบ Master Fund ซึ่งหนึ่งกองทุนสามารถมีได้หลายนโยบายการลงทุนซึ่งจะเป็น Employee’s Choice อย่างเต็มรูปแบบ และทำให้สมาชิกไม่เพียงแต่สามารถเลือกนโยบายได้ด้วยตนเอง แต่ยังจะสามารถจัดสรรสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสมกับตัวเองได้โดยไม่สร้างความยุ่งยากให้กับนายจ้าง

รูปแบบกองทุน Master Fund “หนึ่งกองทุน มีหลายนโยบายการลงทุน” ให้สมาชิกเลือก

อย่างไรก็ดี การจัดทำ Employee’s Choice ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบเดิม หรือ Master Fund ก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุด คือ สมาชิกต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการลงทุนที่ดีพอที่จะสามารถเลือกนโยบายการลงทุนได้ด้วยตนเองจริงๆ

4) เงื่อนไขการจ่ายเงิน – นายจ้างต้องเป็นธรรม
จริงอยู่ถึงแม้ว่าเงินกองทุนส่วนของนายจ้าง นายจ้างมีสิทธิกำหนดเงื่อนไขว่าจะให้สมาชิกเท่าไร เมื่อไรซึ่งนายจ้างส่วนใหญ่ กำหนดเอาจำนวนปีที่ทำงาน หรือจำนวนปีที่เป็นสมาชิกกองทุน เป็นเกณฑ์ในการกำหนดเงื่อนไขต่างๆ แต่หากระยะเวลาที่กำหนดนั้นนานเกินไป ก็ดูจะไม่เป็นธรรมกับลูกจ้างที่เป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ตาม พ.ร.บ. ใหม่ จึงกำหนดว่าการกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายเงินส่วนของนายจ้างต้องไม่ตัดสิทธิลูกจ้างโดยปราศจากเหตุผลอันสมควร ดังนั้น ก.ล.ต. จึงมีแนวทางในการพิจารณารับจดทะเบียนกองทุนให้เฉพาะบริษัทที่กำหนดระยะเวลาที่สมาชิกจะได้รับเงินส่วนของนายจ้างเต็มจำนวน ไม่เกิน 10 ปี หากเกินกว่านี้ ก.ล.ต. จะไม่รับจดทะเบียน อย่างไรก็ตาม การกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายเงินส่วนของนายจ้างที่ต้องไม่ตัดสิทธิลูกจ้างโดยปราศจากเหตุผลอันสมควร ทั้งนี้ ยกเว้น กรณีลาออกจากกองทุนโดยไม่ออกจากงาน หรือกรณีเป็นเหตุให้นายจ้างเสียหายร้ายแรง ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันที่มีข้อกำหนด ห้ามพนักงานสูบบุหรี่ โดยกำหนดโทษร้ายแรงให้ออกจากงาน เนื่องจากอาจทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อชีวิตและทรัพย์สินของบริษัทและเพื่อนพนักงาน

5) เงินกองทุน กบข. – โอนมาเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้
ข่าวดีสำหรับข้าราชการที่เป็นสมาชิกกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) และเปลี่ยนใจลาออกจากราชการมาทำงานกับบริษัทเอกชน ตอนนี้คุณสามารถโอนเงินกองทุน กบข. ที่มีสิทธิได้รับทั้งจำนวนมาเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบริษัทเอกชนได้ ทำให้สามารถออมเงินได้อย่างต่อเนื่อง และไม่ต้องนำเงินที่ได้รับจาก กบข. ไปเสียภาษี เพราะเหตุออกจากราชการก่อนเกษียณอายุ แต่สำหรับพนักงานเอกชนที่จะไปรับราชการ ตอนนี้ยังไม่สามารถโอนเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไปเข้ากองทุน กบข. ได้ ต้องรอให้ กบข. แก้ไข พ.ร.บ. ก่อนค่ะ

ที่มา.. TISCO Asset Management Co.,Ltd.