admin | รับทำเงินเดือน - Part 6 admin | รับทำเงินเดือน - Part 6

การรับรู้ภาษีมูลค่าเพิ่มของตัวแทนช่วง?

คุณ Patipron Rugmai ได้โพสต์ไปเมื่อวันศุกร์ที่ 12 ก.ค. 2556 ว่า
"ขอเรียนถามอาจารย์ ดังนี้ค่ะ
บริษัท ก. เป็นตัวแทนให้กับ บจ.เทเลวิทฯ และได้ว่าจ้าง บริษัท ข. มาดำเนินการแทนในการจำหน่ายสินค้าในเครือของ AIS และรับชำระค่าบริการทั้งรายเดือนและค่าบริการอื่นแทนบริษัท ก. อีกทีหนึ่ง ซึ่งระหว่างดำเนินการขั้นต้น บริษัท ข.ได้ลงทุนดำเนินการในด้านการลงทุน คือ การตกแต่งร้านภายใต้แบรนด์ของ AIS ซึ่งค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ เกิดขึ้น บริษัท ข. เป็นผู้ดำเนินการทั้งสิ้น แต่ บริษัท ก. มาบอกบริษัท ข. ให้บริษัท ข. บอกกับผู้รับเหมาของบริษัท ข. ออกใบกำกับภาษีซื้อในนามของบริษัท ก. แทนที่จะเป็นของบริษัท ข. (ซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างฯและเป็นผู้ชำระเงินค่าจ้างฯ)
อยากทราบว่า
1. บริษัท ข. ต้องเข้าข่ายจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่
2. การกระทำของบริษัท ก. สมควรเป็นตามที่บริษัท ก. ร้องขอหรือไม่
3. บริษัท ข. จะรับรู้รายได้ แบบส่วนแบ่งทางการตลาดหรือไม่
รบกวนด้วยค่ะ"
เรียน คุณ Patipron Rugmai
กรณีตัวแทน (บริษัท ก.) จัดตั้งตัวแทนช่วง (บริษัท ข.) ให้ดำเนินการแทนตน การกระทำใดๆ ของบริษัท ข. ตัวแทนช่วง ย่อมถือเสมือนเป็นการกระทำของตัวแทน บริษัท ก. เมื่อบริษัท ข. ได้ว่าจ้างผู้รับเหมาให้มาทำการตกแต่งร้านภายใต้แบรนด์ของ AIS ก็ถือว่า กระทำในนามของบริษัท ก. เพราะทั้งหมดภายในร้านเป็นสิทธิของบริษัท ก. แต่การจ่ายเงินอาจกระทำได้สองวิธิคือ
วิธีที่ 1 บริษัท ข. จ่ายทดรองไปก่อนในนามของบริษัท ข. โดยทำการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายและในส่งในนามของตัวเอง แล้วนำหลักฐานไปเรียกเก็บเงินชดเขย และค่าโสหุ้ยอื่นๆ จากบริษัท ก. ซึ่งกรณีนี้ เป็นไปได้สูงมากที่บริษัท ก. จะคำนวณหักภาษีเงินได้ณ ที่จ่ายจากบริษัท ข. โดยถือเป็นค่าบริการจ้างทำของ
วิธีที่ 2 บริษัท ข. จ่ายในนามของบริษัท ก. ตามที่บริษัท ก. แจ้งมา การคำนวณหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายเป็นหน้าที่ของบริษัท ก. รวมทั้งการขอคืน VAT ตามหลักฐานใบกำกับภาษีที่ได้จากผู้รับจ้าง
ต่อข้อถาม ขอเรียนว่า
1. การให้บริการของบริษัท ข. อยู่ในข่ายที่ต้องเสีย VAT จึงต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เว้นแต่มีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี จะยังไม่จดทะเบียน VAT ก็ได้ หรือจะเลือกใช้สิทธิขอเข้ามาจดทะเบียน VAT เลยก็ได้ตามมาตรา 81/3 (2) แห่งประมวลรัษฎากร
2. ได้ตอบให้แล้วข้างต้น
3. รายได้ของบิรษัท ข. เป็นตามข้อกำหนดที่ตกลงกับบริษัท ก. ว่าจะกำหนดกันเป็นอย่างไร

ที่มา..www.facebook.com/Suthep.Pongpitak

ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นก่อนเปิดบริษัทบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้หรือไม่

Marnit Aongphisud ได้โพสต์ไปจากบริเวณ Bangkok เมื่อวันศุกร์ที่ 12 ก.ค. 2556 ว่า

"เรียนอาจารย์สุเทพครับ รบกวนสอบถามอาจารย์สุเทพประเด็นค่าใช้จ่ายก่อนการจัดตั้งกิจการ กรณีที่ผู้ถือหุ้นได้จ้างให้สำนักงานกฎหมายเป็นผู้ดำเนินการให้ และมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเกิดขึ้นก่อนที่บริษัทฯจะจัดตั้งเสร็จเรียบร้อย ซึ่งสำนักงานกฎหมายได้ระบุไว้ในรายงานการประชุมก่อตั้งบริษัทฯแล้ว

ประเด็นคำถามครับ เอกสารค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นก่อนเปิดบริษัทฯเป็นใบแจ้งหนี้และใบเสร็จรับเงินที่ออกในนามผู้ถือหุ้นและผู้เริ่มก่อการ อยากทราบว่าเอกสารดังกล่าวสามารถเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้หรือไม่ครับ หรือมีข้อควรระวังเรื่องเอกสารหลักฐานเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ ขอขอบพระคุณล่วงหน้าสำหรับความรู้ และความคิดเห็นที่อาจารย์แบ่งปันนะครับ — กับ Kamolthip Katutat"

เรียน Marnit Aongphisud
ประเด็นรายจ่ายก่อนการจัดตั้งกิจการบริษัทฯ หากที่ประชุมผู้ถือหุ้นมีมติอนุมัติให้ถือเป็นรายจ่ายในการดำเนินกิจการ บริษัทฯ ก็สามารถนำมาบันทึกเป็นรายจ่ายในการดำเนินกิจการได้เช่นเดียวกับรายจ่ายที่เกิดขึ้นนับแต่วันที่ได้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัทฯ และในทางภาษีอากรก็ใช้หลักเกณฑ์ และเงื่อนไขในการพิจารณารายจ่ายที่จะนำมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียเงินได้นิติบุคคลเช่นเดียวกับรายจ่ายในการดำเนินกิจการทั่วไป กล่าวคือ

1. ต้องพิจารณาแยกให้ได้ว่า รายจ่ายนั้นเป็นรายจ่ายฝ่ายทุน หรือเป็นรายจ่ายในการดำเนินกิจการทั่วไป
หากเป็นรายจ่ายฝ่ายทุนก็ย่อมต้องคำนวณค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคานับแต่วันที่ได้มาซึ่งสินทรัพย์นั้น เฉพาะส่วนที่เป็นค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคมในช่วงเวลาก่อนที่จะได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทฯ เท่านั้น ที่สามารถนำมาถือเป็นรายจ่ายได้ เมื่อจัดตั้งบริษัทฯ เรียบร้อยแล้วก็ให้คิดค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาต่อเนื่องไป
2. สำหรับรายจ่ายในการดำเนินกิจการให้นำหลักเกณฑ์ในมาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร มาเป็นหลักในการพิจารณา ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้
(1) ต้องเป็นรายจ่ายที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับการประกอบกิจการ และ
(2) ต้องเป็นรายจ่ายที่ได้จ่ายไปโดยมีเหตุผลความจำเป็นที่ต้องจ่ายรายการรายจ่ายนั้น และ
(3) ต้องเป็นรายจ่ายเป็นไปเพื่อกิจการหรือเพื่อการหากำไรโดยเฉพาะ และ
(4) ต้องเป็นรายจ่ายสิ้นเปลืองหมดไปในรอบระยะเวลาบัญชี โดยไม่ก่อให้เกิดกรรมสิทธิ์หรือสิทธิใดๆ ที่มีอายุการใช้งานเกินกว่าหนึ่งรอบระยะเวลาบัญชี และ
(5) ต้องเป็นรายจ่ายที่มีหลักฐานการจ่ายที่พิสูจน์ผู้รับได้ว่าเป็นบุคคลใด และ
(6) ต้องเป็นรายจ่ายที่ไม่เข้าลักษณะเป็นรายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร

กรณ๊เอกสารรายจ่ายที่เกิดขึ้นก่อนเปิดบริษัทฯ เป็นใบแจ้งหนี้และใบเสร็จรับเงินที่ออกในนามผู้ถือหุ้นและผู้เริ่มก่อการ นั้น ขอเรียนว่ามีความเสี่ยงที่จะเป็นรายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (3) รายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการส่วนตัว และ (18) รายจ่ายที่พิสูจน์ไม่ได้ว่าใครเป็นผู้รับ รวมทั้งอาจมีข้อสงสัยว่า เป็นรายจ่ายที่กำหนดขึ้นเองโดยไม่มีการจ่ายจริง ตามมาตรา 65 ตรี (9) แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น จึงควรที่ต้องมีเอกสารประกอบการจ่ายรายจ่ายทั้งหลายเหล่านั้น ตามหลักการควบคุมภายในที่ดี ประกอบการเหตุผลความจำเป็นที่ต้องจ่าย เพราะเหตุผลประการหนึ่งของการรวมตัวกันตั้งบริษัทฯ ก็เพื่อวัตถุประสงค์ในการมุ่งค้าและหากำไรมาแบ่งปันกัน หาใช่การที่จะมาฉกฉวยเอาจากบริษัทฯ ครับ

ที่มา..ที่มา..www.facebook.com/Suthep.Pongpitak

เงินมัดจำค่ารถต้องออกใบกำกับภาษีหรือไม่

คุณ Pattama Wadee ได้โพสต์ไปเมื่อวันศุกร์ที่ 12 ก.ค. 2556 ว่า
“สวัสดีค่ะอาจารย์ที่เคารพ รบกวนเรียนปรึกษานะคะ
1. กรณีกิจการขายรถยนต์ เวลารับเงินค่าจองรถ ซึ่งค่าจองรถนั้นไปหักกับค่ารถ ณ วันที่ออกรถ คำถามคือ ค่าจองรถต้องออกใบกำกับภาษีขายหรือไม่คะ และกรณีถ้าไม่ได้ออก แต่นำไปออก ยอดรวมในราคารถ ณ วันที่ออกรถเลย สามารถทำได้หรือไม่คะ
2. กรณีกิจการ เพิ่มสาขาที่ 2 ซึ่งสาขาที่ 1 เคยทำเรื่อง ขอยื่นรวมกับสำนักงานใหญ่ ไม่ทราบว่า สาขาที่ 2 กิจการต้อง ทำเรื่องขอยื่นรวมกับสำนักงานใหญ่อีกหรือไม่คะ
รบกวนอาจารย์อีกแลัวนะคะ ขอบคุุณนะคะ”
เรียน คุณ Pattama Wadee
1. เกี่ยวกับการับเงินจองรถยนต์ ของผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ประกอบกิจการขายรถยนต์ดังกล่าว กรมสรรพากรได้วางแนวทางปฏิบัติไว้ตามข้อ 5 (2) ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 36/2536 ดังนี้
“(2) ในกรณีเงินชำระล่วงหน้าเป็นเงินค่าสินค้าที่ได้ชำระบางส่วนหรือเป็นเงินจองหรือเงินมัดจำที่ไม่เข้าลักษณะตาม (1) ถือได้ว่าผู้ขายซึ่งได้รับเงินชำระล่วงหน้า เงินจองหรือเงินมัดจำได้รับชำระราคาสินค้าเป็นบางส่วนตามมาตรา 78 แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว ผู้ขายต้องออกใบกำกับภาษีตามมูลค่าที่ได้รับชำระในขณะที่ได้รับชำระราคาสินค้าเป็นบางส่วน เงินจองหรือเงินมัดจำตามมาตรา 86 แห่งประมวลรัษฎากร”
2. การเพิ่มสาขาที่ 2 โดยเป็นกรณีที่สาขาที่ 1 ได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากรให้ยื่นแบบ ภ.พ.30 รวมกับสำนักงานใหญ่แล้วนั้น ถือว่า สาขาที่ 2 ได้รับอนุมัติให้ยื่นแบบ ภ.พ.30 รวมกับสำนักงานใหญ่โดยอัตโนมัติ ซึ่งกรมสรรพากรได้วางแนวทางปฏิบัติภายในไว้ดังนี้
“กรณีที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนได้ยื่น ภ.พ.09 แจ้งเพิ่มสถานประกอบการแห่งใหม่ ให้ถือว่าสถานประกอบการแห่งใหม่ได้รับอนุมัติให้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มรวมกันกับสถานประกอบการซึ่งได้รับอนุมัติให้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มรวมกันไว้แล้วทันที โดยไม่ต้องยื่น ภ.พ.02 อีก
ตัวอย่าง บริษัท ก มีสำนักงานใหญ่และสำนักสาขา 1 แห่ง ได้รับอนุมัติให้ยื่น ภ.พ.30 รวมกัน ณ สำนักงานใหญ่ ต่อมา บริษัทฯ แจ้งเพิ่มสำนักงานสาขาที่ 2 ดังนั้น บริษัทฯ จะต้องนำรายการภาษีของสำนักงานสาขาที่ 2 ไปยื่น ภ.พ.30 รวมกัน ณ สำนักงานใหญ่ด้วย โดยไม่ต้องยื่น ภ.พ.02 อีก”

ที่มา..www.facebook.com/Suthep.Pongpitak