มิถุนายน, 2009 | รับทำเงินเดือน - Part 2 มิถุนายน, 2009 | รับทำเงินเดือน - Part 2

ระวัง ต้องลงโฆษณาในนสพ.และส่งไปรษณีย์ตอบรับทุกครั้งที่ประชุมผู้ถือหุ้น

สรุป ข่าวสารที่น่าสนใจเกี่ยวกับประเด็นการแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยหุ้นส่วนบริษัท ที่มีผลใช้บังคับแล้วตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2551 ที่ผ่านมา เพื่อให้ผู้อ่านที่เป็นผู้ประกอบการได้รับทราบความเคลื่อนไหวและเตรียมความ พร้อมในการปฎิบัติให้ถูกต้องตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้

การแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์หลัก 2 ประการคือ หนึ่งเพื่อเพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการจัดตั้งธุรกิจ และสองสร้างความน่าเชื่อถือในการดำเนินกิจการมากยิ่งขึ้น ซึ่งมีสาระสำคัญโดยสรุปดังนี้

1.
มาตรการเพิ่มความสะดวกรวดเร็วแก่ธุรกิจ

มีการปรับลดจำนวนผู้เริ่มก่อการตั้งบริษัทจากเดิมที่กำหนดไว้ 7 คน ลงเหลือเพียง 3 คน และ สามารถจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิและจัดตั้งบริษัทได้ภายในวันเดียวกัน ซึ่งแก้ไขจากเดิมที่ต้องแยกการจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิก่อนแล้วจึงออก หนังสือนัดประชุมตั้งบริษัท โดยต้องบอกกล่าวล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วัน หลังการประชุม แล้วจึงมาขอจดทะเบียนตั้งบริษัทได้

ประเด็น ต่อมาคือจากนี้ไปผู้ประกอบการสามารถแปรสภาพห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลและ ห้างหุ้นส่วนจำกัด เป็นบริษัทจำกัด โดยใช้ชื่อเดิมได้ แก้ไขจากเดิมที่หากผู้ประกอบการต้องการเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินกิจการเป็น บริษัทจะต้องดำเนินการจดทะเบียนเลิกห้างก่อนแล้วจึงสามารถจดทะเบียนจัดตั้ง บริษัทขึ้นใหม่ได้ และไม่สามารถใช้ชื่อเดิมของห้างเพื่อการจัดตั้งบริษัท

อีก ประเด็นที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งก็คือการประชุมใหญ่เพื่อให้เป็นมติพิเศษตาม กฎหมายเดิมกำหนดให้ต้องประชุมสองครั้ง แก้ไขให้ประชุมเพียงครั้งเดียว และลดการประกาศโฆษณาทางหนังสือพิมพ์ ในกรณีต้องการลดทุนและควบบริษัท จากเดิมต้องลง 7 ครั้ง เหลือเพียงครั้งเดียว และลดระยะเวลาการคัดค้านของเจ้าหนี้ลงด้วย นอกจากนั้นยังลดการประกาศโฆษณาทางหน้าหนังสือพิมพ์ในเรื่องอื่น ๆ ที่กฎหมายกำหนดไว้จากเดิมสองครั้งเหลือเพียงครั้งเดียวทั้งหมด

2. มาตรการเพิ่มความน่าเชื่อถือในการลงทุนและติดต่อธุรกิจการค้า

ประเด็นที่มีผู้ให้ความสนใจกันค่อนข้างมากก็คือ มาตรา 1175 ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ3 ลักษณะ22 ว่าด้วยหุ้นส่วนและบริษัทที่ว่า บริษัทจำกัดที่จัดตั้งแล้วหากมีการบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่จะต้องลงพิมพ์ โฆษณาในหนังสือพิมพ์ท้องที่อย่างน้อยหนึ่งครั้ง และต้องส่งทางไปรษณีย์ตอบรับ (ไปรษณีตอบรับนะครับ มิใช่ไปรษณีย์ทั่วไป) เพื่อเป็นมาตรการรักษาประโยชน์ของผู้ถือหุ้น ทั้งนี้จากเดิมที่ได้กำหนดให้เรียกประชุมโดยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้

เรื่องเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงแก้ไขการบอกกล่าวประชุมใหญ่นี้ได้มีผู้สรุปความเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจไว้ดังนี้

การเรียกประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อลงมติทั่วไป

เดิม

ใหม่

1. ประกาศหนังสือพิมพ์ท้องที่ฉบับหนึ่ง อย่างน้อย 2 ครั้งก่อนประชุมไม่น้อยกว่า 7 วัน หรือ

1. ประกาศในหนังสือพิมพ์ท้องที่อย่างน้อย 1 ครั้งก่อนประชุมไม่น้อยกว่า 7 วัน และ

2. ส่งหนังสือแจ้งผู้ถือหุ้นทุกคนที่มีชื่อในทะเบียนทางไปรษณีย์ก่อนวันประชุมไม่น้อยกว่า 7 วัน

2. ส่งไปรษณีย์ตอบรับแจ้งผู้ถือหุ้นทุกคนที่มีชื่อในทะเบียนก่อนวันประชุมไม่น้อยกว่า 7 วัน


มติพิเศษ


เดิม

ใหม่

1. ประกาศหนังสือพิมพ์ท้องที่ฉบับหนึ่ง อย่างน้อย 2 ครั้งก่อนประชุมไม่น้อยกว่า 7 วัน หรือ

1. ประกาศในหนังสือพิมพ์ท้องที่อย่างน้อย 1 ครั้งก่อนประชุมไม่น้อยกว่า 14 วัน และ

2. ส่งหนังสือแจ้งผู้ถือหุ้นทุกคนที่มีชื่อในทะเบียนทางไปรษณีย์ก่อนวันประชุมไม่น้อยกว่า 7 วัน

2. ส่งไปรษณีย์ตอบรับแจ้งผู้ถือหุ้นทุกคนที่มีชื่อในทะเบียนก่อนวันประชุมไม่น้อยกว่า 14 วัน

3. ต้องประชุม 2 ครั้ง

3. ประชุมเพียง 1 ครั้ง


โดยสรุปก็คือนับจาก 1 กรกฎาคม 2551 เป็นต้นไป การประชุมใหญ่ ทั้งที่เป็นการประชุมสามัญและวิสามัญของบริษัทจำกัด ผู้ประกอบการจะต้องดำเนินการบอกกล่าวด้วยการประกาศลงใน หนังสือพิมพ์ท้องที่ อย่างน้อย 1 ฉบับ และส่งหนังสือเชิญประชุมเป็นไปรษณีย์ตอบรับ ถึงผู้ถือหุ้น ก่อนวันประชุมอย่างน้อย 7 วันก่อนการประชุม (ถ้าเป็นมติพิเศษ 14 วัน)

และในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ บริษัทส่วนใหญ่ที่สิ้นรอบระยะเวลาบัญชีเมื่อ
31 ธันวาคม ทีผ่านมา จะต้องจัดประชุมใหญ่ภายใน 4 เดือนหรือภายใน 30 เมษายน (เพื่อส่งงบการเงินให้กับกระทรวงพาณิชย์ได้ภายใน 1 เดือนหลังประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อรับรองงบ และนำส่ง ภงด.50 ให้กับกรมสรรพากรภายใน 150วัน นับแต่สิ้นรอบบัญชี ทั้งนี้หลังจากได้จัดให้มีการประชุมผู้ถือหุ้นและผู้สอบบัญชีรับรองงบแล้ว) ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นผู้ประกอบการก็จะต้องดำเนินการเรียกประชุมตามที่กฎหมาย แก้ไขใหม่กำหนดไว้ ทั้งการส่งไปรษณีย์ตอบรับแจ้งผู้ถือหุ้นและการลงประกาศในหนังสือพิมพ์ท้อง ที่อย่างน้อยหนึ่งครั้ง

จุดนี้มีข้อสังเกตประการหนึ่งคือ บริษัทส่วนใหญ่จะสิ้นรอบระยะเวลาบัญชีในวันที่
31 ธันวาคม และจะต้องจัดประชุมใหญ่ภายใน 4 เดือนหรือ 30 เมษายน ซึ่งจะเท่ากับว่าวันสุดท้ายที่บริษัทจะสามารถลงประกาศในหน้าหนังสือพิมพ์และ ส่งหนังสือเชิญประชุมด้วยไปรษณีย์ตอบรับถึงผู้ถือหุ้นล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วันนั้น หากไม่นับหัวนับท้าย วันสุดท้ายและท้ายสุดก็ไม่น่าจะเกินไปจากวันที่ 22 เมษายน

อย่างไรก็ดีบริษัทใดที่จัดทำและตรวจสอบงบฯแล้วเสร็จล่วงหน้าก็สามารถจัดประชุมได้ก่อนวันที่
30 เมษายน เพราะเหตุที่กฎหมายได้กำหนดไว้ว่า จะต้องจัดประชุมใหญ่ภายใน 4 เดือนหรือ 30 เมษายน ซึ่งเท่ากับว่าภายใน 4 เดือนนี้ หากพร้อมเสร็จสรรพก็สามารถจัดประชุมก่อน 30 เมษายนได้ ข้อดีของการจัดประชุมล่วงหน้าก็คือจะสามารถช่วยให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะผู้ ที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดประชุมใหญ่โดยตรง ลดความเสี่ยงในการที่อาจจัดประชุมล่าช้าหรือไม่ถูกต้อง หรือเชิญประชุมและลงประกาศเชิญประชุมในหน้าหนังสือพิมพ์ไม่ทันหรือไม่มี พื้นที่ลงอันเนื่องมาจากบริษัทหลายจำนวนมากต่างจัดประชุมและต้องการลงประกาศ ในวันเดียวกัน

นอก จากประเด็นการเรียกประชุมใหญ่แล้วก็ยังมีเรื่องของการกำหนดให้นายทะเบียนมี อำนาจขีดชื่อห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลออกจากทะเบียนเป็นห้างร้านได้ แก้ไขจากเดิมที่ดำเนินการได้เฉพาะบริษัทจำกัดเท่านั้น

ประเด็น สุดท้ายคือกำหนดให้ห้างหุ้นส่วนและบริษัทที่ถูกขีดชื่อออกจากทะเบียนสิ้น สภาพนิติบุคคล และไม่สามารถตั้งผู้ชำระบัญชีเพื่อชำระสะสางทรัพย์สินหนี้สินของตนอีกต่อไป แต่อาจร้องขอต่อศาลเพื่อสั่งให้นายทะเบียนจดชื่อคืนสู่ทะเบียนได้ ทั้งนี้ต้องร้องขอภายในสิบปีนับแต่วันถูกขีดชื่อออกจากทะเบียน

เนื่องจากการแก้ไขประเด็นกฎหมายดังกล่าวคงจะปฎิเสธไม่ได้แน่ว่าย่อมที่จะมีผลกระทบต่อสิทธิหน้าที่ และ ความรับผิดของผู้ประกอบการทุกท่าน ดังนั้นผู้ที่เกี่ยวข้องหรือได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลในเรื่องที่ทั้ง หลายเหล่านี้จำเป็นที่จะต้องทราบและเตรียมการเพื่อการดำเนินการให้ถูกต้อง เพื่อป้องกันมิให้เกิดกรณีปัญหาต่างๆในอนาคต แนะนำให้หากฎหมายที่แก้ไขใหม่นี้มาอ่านผ่านตากันดู.

ที่มา.. http://www.oknation.net/blog/paisalvision/2008/12/24/entry-6

กรรมการมีสิทธิ์เป็นผู้ประกันตนหรือไม่

หลาย ๆ บริษัท ยังคงมีปัญหาคาใจเกี่ยวกับ การขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนซึ่งจะเกี่ยวพันไปถึงการหักเงินสมทบประกัน สังคมของผู้ที่ดำรงตำแหน่งกรรมการหรือผู้ถือหุ้นของบริษัท จึงได้เสาะหาข้อมูลมาเพื่อไขข้อข้องใจของท่านดังนี้
————-
จากข้อมูลที่ทราบ เมื่อมีผู้ยื่นคำร้องเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ทางสำนักงานประกันสังคมเขาจะตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนว่า ผู้ที่เป็นกรรมการหรือผู้ถือหุ้นของบริษัทนั้น ๆ มีนิติสัมพันธ์การเป็นนายจ้างหรือลูกจ้างกันแน่ พูดง่าย ๆ ก็คือว่าถ้าพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประกอบกับพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 บุคคลผู้เป็นกรรมการหรือผู้ถือหุ้นดังกล่าว อยู่ในข่ายการเป็น “ลูกจ้าง” หรือเป็น “นายจ้าง” โดยกฎหมายที่ว่าได้ให้ความหมายพอสรุปได้ว่า
——————
“ลูกจ้าง” คือ ผู้ซึ่งตกลงทำงานให้แก่นายจ้างเพื่อรับค่าจ้าง โดยอยู่ภายใต้อำนาจบังคับบัญชาของนายจ้างอันหมายความว่าลูกจ้างต้องทำงานตาม ที่นายจ้างสั่ง และต้องปฏิบัติตามระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของนายจ้าง หากลูกจ้างฝ่าฝืนนายจ้างสามารถลงโทษได้
——————
สำหรับ “นายจ้าง” หรือผู้ที่ดำรงตำแหน่ง กรรมการหรือผู้ถือหุ้น ที่จะไม่อยู่ในข่ายการเป็น “ลูกจ้าง” จะต้องมีคุณสมบัติดังนี้
1. เป็นผู้เริ่มก่อการและก่อตั้งบริษัทมาตั้งแต่แรก หรือเป็นผู้ถือหุ้น
2. ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบข้อบังคับในการทำงานของบริษัท กล่าวคือ ลักษณะงานไม่เหมือนลูกจ้าง ไม่มีการสมัครงานปฏิบัติงานโดยอิสระ ไม่ต้องมาทำงานในเวลาทำการทุกวัน การลา ไม่ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับของบริษัท
3. ไม่มีผู้บังคับบัญชา
4. การทำงานให้กับบริษัท เป็นการทำงานในฐานะกรรมการและผู้ถือหุ้นที่ต้องดูแลรักษาผลประโยชน์ของ บริษัท เป็นการทำกิจการด้วยจุดประสงค์เพื่อจะแบ่งปันกำไรอันพึงได้เท่านั้น
——————
ดังนั้น หากแม้ว่ามีตำแหน่งเป็น กรรมการ แต่ไม่ได้เป็นผู้ก่อตั้งบริษัท และยังเป็นผู้ที่ถูกว่าจ้างให้ทำงานโดยที่ประชุมผู้ถือหุ้น รวมทั้งจะต้องทำงานอยู่ภายใต้กฎระเบียบข้อบังคับของบริษัท ซึ่งหากฝ่าฝืน บริษัทสามารถลงโทษได้ และหากมีการเลิกจ้าง บุคคลผู้นี้สามารถเรียกค่าชดเชยจากบริษัทได้ ก็จะถือว่ากรรมการผู้นี้เป็น “ลูกจ้าง” ของบริษัท ตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533
——————
และจากข้อมูลที่ทราบในขณะนี้ มีหลาย ๆ บริษัทที่ผู้ดำรงตำแหน่ง “กรรมการผู้จัดการ” ไม่อยู่ในข่ายการเป็น “ลูกจ้าง” ของบริษัท เพราะมีคุณสมบัติครบตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้นทั้ง 4 ข้อ เพียงแต่ได้รับค่าตอบแทนจากบริษัทเป็นรายเดือน ซึ่งผู้ทำหน้าที่หักเงินประกันสังคมของบริษัทก็เข้าใจว่าการรับค่าตอบแทน จากบริษัทก็ถือเป็นค่าจ้าง ซึ่งจะต้องนำไปหักเงินสมทบประกันสังคมเพื่อนำส่งให้กับสำนักงานประกันสังคม ทุกเดือนตามปกติ หากนำมาพิจารณาดู ในเมื่อตนเองเป็น “นายจ้าง” ก็กลายเป็นว่าตนเองในฐานะ “นายจ้าง” ต้องจ่ายเงินสมทบประกันสังคมถึง 2 ส่วน ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ถึงแม้จะมีสิทธิใช้บริการจากสำนักงานประกันสังคมใน 7 เรื่องที่ทราบกันอยู่ แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนกลุ่มนี้ก็ไม่ได้ไปใช้บริการเหล่านี้ จากสำนักงานประกันสังคมเลย ยิ่งถ้าพูดถึงระดับอายุ ส่วนใหญ่ก็เลยวัยคลอดบุตรหรือมีบุตรแล้ว หรือถ้ามีบุตรก็โตเกินกว่าจะใช้บริการสงเคราะห์บุตร ถ้าพูดถึงฐานะการเงินก็มีพอที่จะใช้จ่ายโดยไม่ต้องพึ่งพาจากรัฐ ส่วนเรื่องการว่างงานก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะคนกลุ่มนี้คงไม่ถูกเลิกจ้างแน่ ๆ ยกเว้นอยากจะทำตัวว่างงานเอง และตามพระราชบัญญัติประกันสังคมแล้ว บุคคลที่เข้าข่ายเป็น “นายจ้าง” ก็ไม่ต้องขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนต่อสำนักงานประกันสังคมอีกด้วย
——————
ดังนั้น หากบริษัทใดมีผู้ดำรงตำแหน่งที่เข้าข่ายไม่ได้เป็น “ลูกจ้าง” และยังคงหักเงินสมทบประกันสังคมอยู่ ก็สามารถทำหนังสือถึงฝ่ายเงินสมทบและการตรวจสอบ สำนักงานประกันสังคมในเขตพื้นที่ ที่บริษัทท่านส่งเงินสมทบอยู่ เพื่อแจ้งขอไม่ส่งเงินสมทบของบุคคลที่มีฐานะเป็น “นายจ้าง” พร้อมทั้งขอคืนเงินส่วนที่หักไปแล้ว ซึ่งสำนักงานประกันสังคมจะคืนให้ได้ในบางส่วนด้วย สำหรับรายละเอียดท่านสามารถขอทราบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานประกันสังคม ทุกแห่ง

ที่มา..http://www.sso.go.th/forum/page_2342