รูปแบบธุรกิจข้างต้นต่างมีทั้งส่วนดีส่วนเสีย ขึ้นกับความเหมาะสมของขนาดและประเภทธุรกิจ ดังนั้นก่อนการเริ่มต้นธุรกิจ เจ้าของธุรกิจควรตัดสินใจว่า ควรจะจัดตั้งธุรกิจแบบใดจึงจะเหมาะสมกับธุรกิจของท่าน เพื่อให้กิจการมีต้นทุนต่ำและมีกำไรสูงสุด
- ธุรกิจบุคคลธรรมดา เป็นเจ้าของกิจการเพียงคนเดียว ไม่ได้ร่วมลงทุนกับบุคคลอื่น ทำให้มีอิสระในการดำเนินงานและการตัดสินใจได้อย่างเต็มที่ ผลกำไรที่เกิดขึ้นก็ไม่ต้องแบ่งให้ใคร แต่เจ้าของธุรกิจจะต้องรับผิดชอบในหนี้สินของกิจการที่เกิดขึ้นไม่จำกัดจำนวน
- การจัดทำบัญชีและเสียภาษี ข้อดีของธุรกิจบุคคลธรรมดาคือไม่ต้องยุ่งยากในการจัดทำบัญชี แต่ต้องเสียภาษีในอัตราก้าวหน้าตามฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
- ห้างหุ้นส่วนสามัญ เป็นการตกลงทำกิจการร่วมกันและแบ่งกำไรกันระหว่างผู้เป็นหุ้นส่วน หุ้นส่วนทุกคนจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกในหนี้สินของกิจการโดยไม่จำกัดจำนวน ซึ่งห้างหุ้นส่วนชนิดนี้กฏหมายไม่ได้บังคับให้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล จึงเสมือนมีสภาพเป็นคณะบุคคล ซึ่งหากเลือกจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลจะเรียกว่า "ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล" ซึ่งความรับผิดในหนี้ของหุ้นส่วน จะจำกัดเพียง 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ออกจากการเป็นหุ้นส่วนเท่านั้น
- การจัดทำบัญชีและเสียภาษี ไม่ต้องยุ่งยากในการจัดทำบัญชี เหมือนกรณีบุคคลธรรมดา แต่การเสียภาษีเงินได้ของคณะบุคคลจะเสียภาษีเงินได้เหมือนกับบุคคลธรรมดาที่แยกออกจากตัวบุคคล ถือเป็นบุคคลอีกคนหนึ่งตามมาตรา 56 วรรค(2) ของประมวลรัษฏากร นอกจากนี้เงินส่วนแบ่งกำไรจากห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ด้วย
- ห้างหุ้นส่วนจำกัด การจัดตั้งห้างหุ้นส่วนชนิดนี้จะต้องจดทะเบียนนิติบุคคลตามกฏหมาย ผู้เป็นหุ้นส่วนสามารถโอนหุ้นให้บุคคลอื่นได้ไม่เหมือนกับห้างหุ้นส่วนประเภทแรก ลักษณะของห้างหุ้นส่วนประเภทนี้จะมีผู้เป็นหุ้นส่วน 2 ประเภทด้วยกัน คือ หุ้นส่วนที่เป็นต้องรับผิดชอบในหนี้สินของกิจการไม่จำกัดจำนวน และหุ้นส่วนที่รับผิดชอบในหนี้สินของกิจการจำกัดจำนวนไม่เกินจำนวนเงินที่ตนได้ลงทุนไป
- การจัดทำบัญชีและเสียภาษี มีหน้าที่ต้องจัดทำบัญชีเหมือนกรณีตั้งบริษัท และเสียภาษีตามอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล
- บริษัทจำกัด การจัดตั้งกิจการจะต้องมีผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่า 7 คน โดยการแบ่งเงินลงทุนออกเป็นหุ้น มีมูลค่าหุ้นละเท่าๆกัน ผู้ถือหุ้นจำกัดความรับผิดไม่เกินจำนวนค่าหุ้นที่ยังส่งไม่ครบ ดำเนินโดยคณะกรรมการบริษัท ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือมากกว่า
- การจัดทำบัญชีและเสียภาษี มีหน้าที่ต้องจัดทำบัญชี และเสียภาษีตามอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล
เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของการเลือกรูปแบบองค์กร
รายละเอียด | เจ้าของคนเดียว | ห้างหุ้นส่วน | บริษัทจำกัด | |
1. | เงินลงทุน | มีเงินทุนจำกัด | ระดมทุนได้มากขึ้น | ระดมทุนได้ง่ายและมาก |
2. | การบริหารงาน | มีอำนาจเต็มที่ | ต้องปรึกษากับหุ้นส่วน | บริหารโดยคณะกรรมการบริษัท |
3. | ความรับผิดในหนี้สิน | เต็มจำนวน | เต็มจำนวน/จำกัด | เฉพาะมูลค่าหุ้นที่ยังชำระไม่ครบ |
4. | ผลกำไรขาดทุน | ไม่ต้องแบ่งใคร | เฉลี่ยให้ผู้เป็นหุ้นส่วน | จ่ายเป็นเงินปันผลตามจำนวนหุ้นที่ถือ |
5. | ภาษีเงินได้ | ตามอัตราก้าวหน้า สูงถึง 37% | ตามอัตราก้าวหน้า สูงถึง 37% ถ้าจดเป็นนิติฯ จะเสีย 15%-30% กรณีขาดทุนไม่ต้องเสียภาษี | อัตราร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิ (SME เสียภาษีตามอัตราก้าวหน้า 15%-30%) ในกรณีขาดทุนไม่ต้องเสียภาษี |
6. | ความน่าเชื่อถือ | น้อย | ปานกลาง | มาก |
ตอบคุณดาว
แนะนำให้เปิดเป็นบริษัทครับ
รบกวนขอคำปรึกษาค่ะ กิจการที่บ้าน คือทำรับเหมา ระบบไฟฟ้าและสื่อสาร ซึ่ง มีลูกน้องทำงานหั้ย ทำมาประมาน 5 ปีแล้วค่ะ
และมีความคิดที่จะจัดตั้งเป็น หจก.
* อยากรบกวนช่วยแนะนำ ว่าควร จะเปิดเป็นบริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วน ดีค่ะ ราคาที่ประมูลงานค่อนข้างสูงอยู่เหมือนกันค่ะ
ขอบคุณล่วงหน้าน่ะค่ะ^^
ตอบคุณน้ำตาล
แนะนำให้ทำแบบเดิมไปก่อนดีกว่าครับ เนื่องจากถ้าจดเป็น หจก. หรือบริษัท จะต้องจัดทำบัญชี เนื่องจากต้องเสียภาษีจากฐานกำไรสิทธิ ถ้าไม่ทำบัญชีก็จะไม่รู้ว่ากำไรหรือขาดทุน
รบกวนปรึกษาค่ะ เปิดร้านรับซื้อของเก่ามาประมาณ 10 เดือน ทำกันเองกับแฟน และลูกน้อง 2 คน ที่ผ่านมาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คนเดียว หากเราจดเป็น หจก. จะดีมั้ย หจก.สามัญดีรึเปล่า เพื่อ ไม่ยุ่งยากเรื่องบัญชี แนะนำหน่อยนะคะ