ตุลาคม, 2010 | รับทำเงินเดือน ตุลาคม, 2010 | รับทำเงินเดือน

ภาษีหัก ณ ที่จ่าย กรณีรับจ้างพิมพ์แบบฟอร์ม

เลขที่หนังสือ : กค 0702/3687

วันที่ : 1 มิถุนายน 2553

เรื่อง : ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย กรณีรับจ้างพิมพ์แบบฟอร์มสำนักงาน

ข้อกฎหมาย : คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528ฯ

ข้อหารือ
          บริษัทฯ ประกอบกิจการขายส่ง ขายปลีก และรับจ้างพิมพ์เอกสารต่างๆ ตามคำสั่งของลูกค้า บริษัทฯ จึงขอทราบว่า
          1. กรณีบริษัทฯ รับจ้างพิมพ์แบบฟอร์มสำนักงาน (design form) โดยจะพิมพ์งานตามคำสั่งของลูกค้า ซึ่งแบบพิมพ์ จะแตกต่างกันตามที่ลูกค้าสั่ง โดยลูกค้าจะมีตัวอย่างมาให้ บริษัทฯ จะถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายหรือไม่
          2. กรณีแบบพิมพ์ (design form) บางงานของลูกค้าที่มาว่าจ้างบริษัทฯ พิมพ์ แต่ทางบริษัทฯ ไม่สามารถพิมพ์ได้ตาม ตัวอย่างงานที่ลูกค้าสั่ง บริษัทฯ จึงไปว่าจ้างบริษัทอื่นพิมพ์ให้ แล้วนำไปให้ลูกค้าที่มาสั่งพิมพ์ บริษัทฯ จะถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย หรือไม่
          3. กรณีลูกค้าสั่งกระดาษต่อเนื่องที่ไม่มีการพิมพ์ (stock form) โดยบริษัทฯ เป็นผู้ผลิตกระดาษต่อเนื่องนั้น บริษัทฯ จะถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย หรือไม่

แนววินิจฉัย
          1. กรณีบริษัทฯ รับจ้างพิมพ์แบบฟอร์มสำนักงาน (design form) ซึ่งแบบพิมพ์จะแตกต่างกันตามที่ลูกค้าสั่ง กรณีจึงเป็น การมุ่งหวังผลสำเร็จของงานเป็นสำคัญ เข้าลักษณะเป็นการรับจ้างทำของตามมาตรา 587 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หากลูกค้าเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น จ่ายเงินค่าจ้างทำของให้แก่บริษัทฯ ลูกค้ามีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 3.0 ตามข้อ 8 ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.4/2528 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528
          2. กรณีบริษัทฯ ไม่สามารถพิมพ์งานได้ บริษัทฯ จึงไปว่าจ้างบริษัทอื่นพิมพ์ให้ แล้วนำผลงานดังกล่าวไปให้ลูกค้า ถือว่า ลูกค้าได้ว่าจ้างบริษัทฯ ให้พิมพ์งาน โดยเป็นการมุ่งหวังผลสำเร็จของงานเป็นสำคัญ เข้าลักษณะเป็นการรับจ้างทำของ ตามมาตรา 587 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หากลูกค้าเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น จ่ายเงินค่าจ้างทำของ ให้แก่บริษัทฯ ลูกค้ามีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 3.0 ตามข้อ 8 ของคำสั่งกรมสรรพากรฉบับดังกล่าว
          3. กรณีลูกค้าสั่งซื้อกระดาษต่อเนื่องที่ไม่ต้องมีการพิมพ์ (stock form) โดยบริษัทฯ เป็นผู้ผลิตกระดาษต่อเนื่องนั้นขายเป็นปกติอยู่แล้ว เข้าลักษณะเป็นการขายสินค้า จึงไม่อยู่ในบังคับต้องถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามคำสั่งกรมสรรพากรฉบับดังกล่าว

เลขตู้ : 73/37314

รับจ้างผลิตเครื่องจับยึดชุดโลหะ ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย

ภาษีหัก ณ ที่จ่าย กรณีรับจ้างทำ ผู้จ่ายมีหน้าที่หักในอัตราร้อยละ  3% ในบางครั้งการพิจารณาว่าสินค้า(ชิ้นส่วน) ที่ซื้อว่าเป็นการรับจ้างทำของ หรือเป็นการขาย เป็นเรื่องยุ่งยากพอสมควร ถ้าดูจากที่สรรพากรตอบไว้จะเห็นว่าการขายสินค้าที่ผู้ซื้อเป็นผู้กำหนดแบบให้ เป็นการรับจ้างทำของ แม้ว่าผู้ขายจะเป็นผู้จัดหาวัตถุดิบเองก็ตาม

เลขที่หนังสือ กค 0702/5561 

วันที่ : 22 กรกฎาคม 2553

เรื่อง : ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย กรณีการผลิตเครื่องจับยึดชุดโลหะ

ข้อกฎหมาย : มาตรา 587 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

ข้อหารือ
          บริษัทฯ ประกอบกิจการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ ปั๊มชิ้นส่วนรถยนต์ และรับจ้างจุ่มสีชิ้นส่วนรถยนต์ บริษัทฯ ได้จ่ายค่าจ้างผลิตอุปกรณ์ที่ใช้จับยึดชิ้นงานให้กับบริษัท ว. แต่ไม่ได้หักภาษี ณ ที่จ่าย โดยชี้แจงว่าบริษัท ว. จะผลิตตามคำสั่งและแบบของลูกค้า ลูกค้าให้ผลิตอุปกรณ์จับยึดชุดโลหะตามแบบที่ลูกค้ากำหนด หรือแบบที่ผู้ผลิตเป็นผู้ออกแบบให้ โดยในการผลิตจะใช้วัตถุดิบของ ผู้ผลิต กรณีดังกล่าวอยู่ในบังคับต้องถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามข้อ 8 ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 4/2528 เรื่อง สั่งให้ ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528 หรือไม่

แนววินิจฉัย
          การพิจารณาข้อตกลงทางการค้าว่า เข้าลักษณะเป็นการขายสินค้าหรือการจ้างทำของจะต้องพิจารณาตามเจตนาที่แท้ จริงของคู่สัญญาว่าคู่สัญญามุ่งที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินหรือมุ่งถึง การทำงานและผลสำเร็จของงานเป็นสำคัญกรณีปรากฏข้อเท็จจริงว่า การประกอบกิจการของบริษัท ว. จะผลิตสินค้าตามคำสั่งของลูกค้าเท่านั้นโดยไม่มีการวางจำหน่ายเป็นการทั่วไป ไม่ว่าจะใช้วัตถุดิบของบริษัท ว. หรือของผู้ว่าจ้างก็ตามและไม่สามารถผลิตแม่พิมพ์ที่จับยึดชิ้นงานตามแบบของ ลูกค้ารายหนึ่งไปจำหน่ายให้กับลูกค้าอีกรายหนึ่งได้ เนื่องจากเป็นความลับทางการค้าของลูกค้ารายนั้นๆ จึงเป็นการมุ่งถึงผลสำเร็จของงานที่ทำ ถือเป็นการรับจ้างทำของตามมาตรา 587 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เมื่อบริษัทฯ จ่ายค่าจ้างให้แก่บริษัท ว. ผู้จ่ายเงินมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 3.0 ตามข้อ 8 (2) ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 4/2528ฯ ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528

เลขตู้  : 73/3742

มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวไทย

ตามที่รัฐบาลออก นโยบายการส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยมีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการและธุรกิจท่องเที่ยวนั้น

บัดนี้ได้ทยอยออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องจนครบถ้วนแล้ว จึงขอนำมาเป็นประเด็นปุจฉา-วิสัชนา ดังนี้

ปุจฉา ขอให้ทบทวนนโยบายการส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยมีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการและธุรกิจท่องเที่ยว ที่รัฐบาลได้เคยแถลงไว้ตามมติ ครม.

วิสัชนา เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวที่ประชุม ครม. ได้มีมติดังนี้

1. ให้ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ซื้อแพ็คเกจทัวร์จากบริษัททัวร์เพียง กรณีเดียวเท่านั้น โดยนำค่าใช้จ่ายดังกล่าวมาหักภาษีได้ไม่เกิน 15,000 บาทต่อปี โดยมาตรการนี้มีผลระหว่างวันที่ 9 มิถุนายน 2553 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2553

2. กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลจัดแสดงสินค้า นิทรรศการ และออกบูธที่เกี่ยวกับท่องเที่ยวไทยในต่างประเทศ สามารถนำรายจ่ายส่วนนั้นมาหักภาษีได้ 2 เท่า โดยกำหนดให้มีผลบังคับใช้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2554 นอกจากนี้ ยังกำหนดให้บริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลดังกล่าวสามารถนำรายจ่ายจากการจัดอบรมสัมมนา ลูกจ้างที่เป็นการจัดสัมมนาภายใน มาหักรายจ่ายได้ 2 เท่า โดยเป็นรายจ่ายของส่วนห้องพัก ห้องสัมมนา ค่าจัดการ ค่าขนส่ง ที่ได้จ่ายให้แก่ธุรกิจนำเที่ยวตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจนำเที่ยวและ มัคคุเทศก์เป็นเวลา 2 รอบระยะเวลาบัญชี นับแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2553

3. กำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่เป็นผู้ประกอบอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ที่ได้ซื้อทรัพย์สิน ที่ใช้ในการประกอบอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เช่น อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ เครื่องตกแต่ง และเฟอร์นิเจอร์ แต่ไม่รวมถึงยานพาหนะ โดยให้มีสิทธิหักค่าเสื่อมได้ 60% ของมูลค่าต้นทุน ในวันที่ได้มาซึ่งทรัพย์สิน โดยให้มีผลถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2554

4. สิทธิประโยชน์ในการหักค่าเสื่อมราคาของรถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่ นั่งไม่เกิน 10 คน ซึ่งได้ซื้อมาเพื่อประกอบกิจการให้เช่ารถยนต์ ซึ่งเดิมหักค่าเสื่อมราคาได้จากต้นทุนที่ไม่เกิน 1 ล้านบาท โดยจะปรับมูลค่าต้นทุนให้หักค่าเสื่อมราคาได้เต็มมูลค่าต้นทุนทั้งหมดของ ราคารถยนต์ดังกล่าวที่ได้ซื้อมา และในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการดังกล่าวได้เช่ารถยนต์ดังกล่าวมาเพื่อให้เช่า ต่อไปก็จะให้สิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น โดยแต่เดิมหักรายจ่ายได้ไม่เกินประมาณ 36,000 บาทต่อเดือนต่อการเช่ารถยนต์ โดยจะปรับให้หักค่าเช่าได้ทั้งจำนวน

5. มาตรการภาษีเกี่ยวกับการประกันภัย โดยกำหนดให้บริษัทประกันภัยสามารถนำค่าใช้จ่ายจากการจ่ายเงินทดแทน ที่จ่ายให้กับผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากเหตุการณ์ชุมนุมมาหักเป็นรายจ่าย ในการคำนวณกำไรสุทธิในการเสียภาษี รวมทั้งให้ยกเว้นภาษี จากค่าสินไหม หรือเงินที่ได้รับจากบริษัทประกันภัยในส่วนที่เกินจากมูลค่าทรัพย์สินที่ เสียหายด้วย

ปุจฉา มีหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับรายจ่ายค่าซื้อ แพ็คเกจทัวร์จากบริษัททัวร์ อย่างไร

วิสัชนา กำหนดให้มีผลตั้งแต่วันที่ เป็นไป ดังนี้ กำหนดให้ผู้มีเงินได้บุคคลธรรมดาได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเท่ากับ จำนวนเงินที่ได้จ่ายเป็นค่าบริการให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวตามกฎหมาย ว่าด้วยธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ หรือที่ได้จ่ายเป็นค่าที่พักในโรงแรมให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรม ตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่รวมกันทั้งหมดแล้วไม่เกิน 15,000 บาท ทั้งนี้ เฉพาะค่าบริการหรือค่าที่พักที่ได้จ่ายไปตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน 2553 จนถึง 31 ธันวาคม 2553 และให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนดตาม กฎกระทรวงฉบับที่ 278 (พ.ศ. 2553) ลงวันที่ 30 กันยายน 2553

ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 187) ดังนี้

1. เป็นผู้มีเงินได้ซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่ไม่รวมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล

2. กรณีผู้มีเงินได้ซึ่งมีสิทธิได้รับยกเว้นภาษีมีคู่สมรส

(1) กรณีสามีหรือภริยามีเงินได้ฝ่ายเดียว ให้ยกเว้นภาษีให้แก่สามีหรือภริยาซึ่งเป็นผู้มีเงินได้ตามจำนวนที่ผู้มีเงิน ได้ได้จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15,000 บาท

(2) กรณีสามีภริยาต่างฝ่ายต่างมีเงินได้ โดยความเป็นสามีภริยาได้มีอยู่ตลอดปีภาษี และภริยาจะใช้สิทธิแยกยื่นรายการและเสียภาษีต่างหากจากสามีตามมาตรา 57 เบญจ แห่งประมวลรัษฎากร หรือไม่ก็ตาม ให้สามีหรือภริยาซึ่งเป็นผู้มีเงินได้ต่างฝ่ายต่างได้รับยกเว้นภาษีตามจำนวน ที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินคนละ 15,000 บาท ถ้าความเป็นสามีภริยามิได้มีอยู่ตลอดปีภาษีที่ได้รับยกเว้นภาษี ให้สามีและภริยาซึ่งเป็นผู้มีเงินได้ต่างฝ่ายต่างได้รับยกเว้นภาษีตามจำนวน ที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินคนละ 15,000 บาท

3. ผู้มีเงินได้ต้องมีหลักฐานการรับเงินจากผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว หรือผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมโดยระบุชื่อผู้มีเงินได้ จำนวนเงิน วัน เดือน ปี ที่จ่ายเงิน

(1)

ปุจฉา มีหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วน นิติบุคคล สำหรับเงินได้ที่ได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมงานออกร้าน งานนิทรรศการ งานแสดงสินค้า ทั้งในประเทศและต่างประเทศ บางกรณีอย่างไร

วิสัชนา ได้มีการตราพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 503) พ.ศ. 2553 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2553 เป็นต้นไป เพื่อส่งเสริมการประกอบอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการส่งออกสินค้า โดยยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ เข้าร่วมงานออกร้าน งานนิทรรศการ งานแสดงสินค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ สำหรับเงินได้เป็นจำนวนร้อยละหนึ่งร้อยของรายจ่ายที่ได้จ่ายไปเป็นค่าเช่า พื้นที่ ค่าก่อสร้างสถานที่จัดแสดง ค่าประกันภัย ค่าระวาง หรือค่าขนส่งสินค้าและอุปกรณ์ที่ใช้ในการเข้าร่วมงานออกร้าน งานนิทรรศการ หรืองานแสดงสินค้าดังกล่าว ที่ได้จ่ายไปตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2553 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2554 ทั้งนี้ เฉพาะกรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลมีหนังสือรับรองจากหน่วยงานของ รัฐว่าได้เข้าร่วมงานจริง

ปุจฉา มีหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการกำหนดข้อยกเว้นมิให้ใช้บังคับบทบัญญัติ ว่าด้วยรายจ่ายที่ไม่ให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิกับค่าเช่า ทรัพย์สินประเภทรถยนต์นั่งและรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกินสิบคน อย่างไร

วิสัชนา ได้มีการตราพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 504) พ.ศ. 2553 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2553 เป็นต้นไป เพื่อกำหนดข้อยกเว้นมิให้ใช้บังคับบทบัญญัติแห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความใน ประมวลรัษฎากร ว่าด้วยรายจ่ายที่ไม่ให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ (ฉบับที่ 315) พ.ศ. 2540 กับค่าเช่าทรัพย์สินประเภทรถยนต์นั่งและรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกินสิบ คน ในการคำนวณกำไรสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งประกอบธุรกิจให้ เช่ารถยนต์ เพื่อเป็นมาตรการในการบรรเทาภาระภาษีและกระตุ้นการลงทุนในธุรกิจ ซึ่งจะทำให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลดังกล่าวสามารถนำค่าเช่า ทรัพย์สินตามที่กำหนดไว้มาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้ โดยเพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 5/1 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 315) พ.ศ. 2540

"มาตรา 5/1 บทบัญญัติมาตรา 4 (2) ไม่ใช้บังคับกับรายจ่ายที่เกิดจากการเช่าทรัพย์สินประเภทรถยนต์นั่งและรถ ยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกินสิบคนตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพ สามิต ในกรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งประกอบธุรกิจให้เช่ารถยนต์ได้ เช่ารถยนต์ประเภทดังกล่าวไว้เพื่อการให้เช่า"

อย่างไรก็ตาม บทบัญญัติในมาตรา 4 (2) แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 315) พ.ศ. 2540 ให้ยังคงใช้บังคับต่อไป สำหรับการเช่ารถยนต์เพื่อการให้เช่าของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งประกอบธุรกิจให้เช่ารถยนต์ที่ได้กระทำก่อนวันที่ 14 ตุลาคม 2553

ปุจฉา มีหลักเกณฑ์การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วน นิติบุคคล สำหรับเงินได้ที่ได้จ่ายไปในการอบรมสัมมนาภายในประเทศบางกรณี อย่างไร

วิสัชนา ได้มีการตราพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 506) พ.ศ. 2553 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2553 เป็นต้นไป เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการใช้บริการธุรกิจการท่องเที่ยวและกระตุ้น เศรษฐกิจของประเทศ โดยยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้จัดให้มี การอบรมสัมมนาภายในประเทศให้แก่ลูกจ้าง สำหรับเงินได้เป็นจำนวนร้อยละหนึ่งร้อยของรายจ่ายที่ได้จ่ายไปเป็นค่าห้อง สัมมนา ค่าห้องพัก ค่าขนส่ง หรือรายจ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องหรือรายจ่ายที่ได้จ่ายให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจนำ เที่ยวตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ เพื่อการอบรมสัมมนาดังกล่าว เป็นเวลาสองรอบระยะเวลาบัญชีสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวัน ที่ 1 มกราคม 2553 ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด ซึ่งจะได้นำรายละเอียดมาเสนอต่อไป

(2)

ปุจฉา มีการแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และอัตราการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินที่เป็นสังหาริมทรัพย์ บางกรณี อย่างไร

วิสัชนา ได้มีการตราพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 505) พ.ศ. 2553 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2553 เป็นต้นไป เพื่อส่งเสริมการประกอบอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ลดภาระรายจ่ายเพื่อการลงทุนในการต่อเติมหรือเปลี่ยนแปลงทรัพย์สินที่เป็น สังหาริมทรัพย์ โดยกำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งเป็นผู้ประกอบอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ได้ลงทุนในทรัพย์สินที่เป็น สังหาริมทรัพย์ แต่ไม่รวมถึงยานพาหนะ สามารถหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินดังกล่าวได้เพิ่มขึ้น และสมควรกำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบธุรกิจให้เช่ารถ ยนต์ สามารถหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินดังกล่าวได้เต็มจำนวนมูลค่า ทรัพย์สิน เพื่อเป็นการบรรเทาภาระภาษีให้แก่ผู้ประกอบการ และกระตุ้นให้มีการลงทุน ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น โดย

1. เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 4 ทศ แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน (ฉบับที่ 145) พ.ศ. 2527

"มาตรา 4 ทศ การหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินประเภททรัพย์สินอย่างอื่นตาม มาตรา 4 (5) แต่ไม่รวมถึงยานพาหนะที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งเป็นผู้ประกอบอุตสาหกรรมท่องเที่ยวตามกฎหมาย ว่าด้วยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยซื้อหรือได้รับโอนกรรมสิทธิ์ เพื่อมีไว้ใช้ในการประกอบกิจการของตนเอง ให้หักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาเบื้องต้นในวันที่ได้ทรัพย์สินนั้นมาใน อัตราร้อยละหกสิบของมูลค่าต้นทุน สำหรับมูลค่าต้นทุนส่วนที่เหลือให้หักตามเงื่อนไขและอัตราที่กำหนดไว้ใน มาตรา 4 ทั้งนี้ ทรัพย์สินนั้นต้องไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้

(1) เป็นทรัพย์สินที่ได้รับสิทธิประโยชน์หรืออยู่ระหว่างการพิจารณาขอรับสิทธิ ประโยชน์ สนับสนุนจากส่วนราชการ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม เพื่อการส่งเสริมการลงทุนด้านอนุรักษ์พลังงาน

(2) เป็นทรัพย์สินที่นำไปใช้ในกิจการที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตาม กฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน

(3) เป็นทรัพย์สินที่เกิดจากรายจ่ายซึ่งได้จ่ายไปเป็นค่าจ้างเพื่อทำการวิจัยและ พัฒนาเทคโนโลยีให้แก่หน่วยงานของรัฐหรือเอกชนตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความใน ประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 297) พ.ศ. 2539

(4) เป็นทรัพย์สินที่เกิดจากรายจ่ายตามมาตรา 65 ตรี (5) แห่งประมวลรัษฎากร และได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามมาตรา 3 (1) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 460) พ.ศ. 2549"

ทั้งนี้ โดยให้ใช้บังคับกับทรัพย์สินที่ได้มาและอยู่ในสภาพพร้อมที่จะใช้ได้ตามวัตถุ ประสงค์ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2553 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2554

2. ให้ยกเลิกความในมาตรา 5 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการหักค่าสึกหรอ และค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน (ฉบับที่ 145) พ.ศ. 2527 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน

"มาตรา 5 ทรัพย์สินประเภทรถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกินสิบคนตาม กฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต ให้หักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาจากมูลค่าต้นทุน เฉพาะส่วนที่ไม่เกินหนึ่งล้านบาท เว้นแต่เป็นทรัพย์สินซึ่งมีไว้ใช้ในกิจการให้เช่ารถยนต์ ให้หักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาจากมูลค่าต้นทุนทั้งหมด ทั้งนี้ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลจะต้องไม่นำทรัพย์สินดังกล่าวไปใช้ในกิจการ อื่น ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน"

ทั้งนี้ บทบัญญัติมาตรา 5 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน (ฉบับที่ 145) พ.ศ. 2527 ที่ถูกยกเลิกไปนั้น ให้ยังคงใช้บังคับต่อไปเฉพาะทรัพย์สินที่ได้มาก่อนวันที่ 14 ตุลาคม 2553

(3)

ที่มา..กรุงเทพธุรกิจออนไลน์