ทำบัญชีอย่างไรให้สรรพากรยอมรับได้
- มีความรู้ในธุรกิจที่ทำ
- มีระบบบัญชีที่ดี
- มีเอกสารหลักฐานถูกต้อง ครบถ้วน ตามพรบ บัญชี
- มีเอกสารหลักฐานถูกต้อง ครบถ้วน ตามประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์
- มีเอกสารหลักฐานถูกต้อง ครบถ้วน ตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ
- มีเอกสารหลักฐานถูกต้อง ครบถ้วน ตามประมวลรัษฎากร
- เตรียมความพร้อมเมื่อถูกสรรพากรตรวจสอบ
ประเภทธุรกิจที่แตกต่างกัน
- ซื้อมาขายไป
- บริการ(รับเหมาก่อสร้าง/โรงแรม/ร้านอาหาร/นายหน้าตัวแทน/ขนส่ง ฯลฯ)
- ผลิตสินค้า
- นำเข้า-ส่งออก
- ลิสซิ่ง/เช่าซื้อ
- อสังหาริมทรัพย์(ซื้อขาย/ให้เช่า)
- อื่นๆ เช่น คลังสินค้า
การจัดการบัญชีที่ดี ที่น่าเชื่อถือได้
- จัดทำบัญชีเพื่อวัตถุประสงค์อะไร
- ระบบข้อมูลทางบัญชี คืออะไร
- ใครใช้ข้อมูลและข้อมูลให้ประโยชน์อย่างไร
- ทำอย่างไรให้มีการจัดการระบบข้อมูลบัญชีที่ดี
- กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทางบัญชีมีอะไรบ้าง
วัตถุประสงค์ของการจัดทำบัญชี
- เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ
- ในการใช้ทรัพยากรอย่างจำกัด
- ในเหตุการณ์ที่มีภาวะสำคัญ หรืออันตราย
- ในการพิจารณาเป้าหมายและวัตถุประสงค์
- เพื่อช่วยให้การสั่งการ การอำนวยการ และการควบคุมบุคคลากร และทรัพยากรที่สำคัญขององค์กรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และมีประสิทธิผล
- เพื่อให้แน่ใจว่ามีการรายงานและการดำรงรักษาไว้ซึ่งทรัพยากรขององค์กร
- เพื่ออำนวยความสะดวกต่อการควบคุมและเพื่อหน้าที่ทางสังคม
ทำความเข้าใจระบบข้อมูลทางบัญชีเพื่อจัดทำงบการเงิน
ใครใช้ข้อมูลและข้อมูลให้ประโยชน์อะไรบ้าง
- การจัดทำข้อมูลสำหรับภายใน (Management Accounting)
- จัดทำเพื่อเป็นข้อมูลประกอบสำหรับ
- การตัดสินใจ (ทรัพยากร / ฉุกเฉิน)
- การวางแผน (เป้าหมาย)
- การสั่งการหรือการอำนวยการ (ประสิทธิภาพ/ประสิทธิผล)
- การควบคุม (ติดตาม/รายงานผล)
- บริหารทุกระดับเป็นผู้ใช้ข้อมูลภายใน
- การจัดทำข้อมูลสำหรับภายนอก (Financial Accounting)
- จัดทำเพื่อเป็นข้อมูลประกอบสำหรับ
- การจัดทำงบการเงินที่ตีพิมพ์
- การจัดทำรายงานการเงินที่ตีพิมพ์
- ผู้ใช้ข้อมูลภายนอก เช่น ผู้ถือหุ้น เจ้าหนี้ นักวิเคราะห์ หน่วยงานรัฐ
ทำอย่างไรให้มีการจัดการบัญชีที่ดี
- การจัดองค์กรที่ดี
- มีการจัดสายงานที่ดี
- มีระบบการทำงานแต่ละระบบและระบบการทำงานที่ร่วมกัน
- มีการระบุหน้าที่ความรับผิดชอบชัดเจน
- มีการใช้คนให้เหมาะสมกับงาน
- มีการจัดการที่ดีในทุกระบบงาน แม้ในหน่วยงานบัญชีเอง
- Planning (goal/วิธีที่จะนำสู่เป้าหมาย) Strategic Planning การวางแผนอย่างมีกลยุทธ์
- Organizing (จัดวางคนให้เหมาะสมกับทรัพยากรที่มี)
- Directing (Works Flow)
- Leading (จูงใจให้ทำงานสู่เป้า/เข้าใจคน)
- Controlling (Well Plan/well done/Max. Achievement) (Internal Control)
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทางบัญชี
- พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ.2543
- มาตรฐานการบัญชี
- ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยการจัดการห้างหุ้นส่วนและบริษัท
- พระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน บริษัทจำกัด สมาคมและมูลนิธิ
- ประมวลรัษฎากร
- กฎหมาย กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เช่น พรบ.โรงงาน พรบ.ภาษีป้าย
- พรบ. ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พรบ.เครื่องหมายการค้าและลิขสิทธิ์ พรบ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พรบ.สิ่งแวดล้อม ฯลฯ
พ.ร.บ. การบัญชี พ.ศ. 2543
- นิดของบัญชี
- อความ & รายการ
- ระยะเวลาลงรายการ
- เอกสารประกอบ
- การปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชี
- คุณสมบัติของผู้ทำบัญชี
- ผู้ที่ต้องจัดทำบัญชี
- หน้าที่ผู้จัดทำบัญชี
- การจัดรักษาเอกสารบัญชี
- การจัดทำงบการเงิน
- การนำส่งงบการเงิน
- บทกำหนดโทษ
ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี
- ผู้ที่ต้องจัดทำบัญชี (ม. 8) (ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดการธุรกิจในสถานที่นั้น ในกิจการร่วมค้านั้น)
- ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน (ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย)
- บริษัทจำกัด (ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย)
- บริษัทมหาชนจำกัด (ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย)
- นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทย
- กิจการร่วมค้าตามประมวลรัษฎากร
- บุคคลธรรมดา หรือ ห้างหุ้นส่วนที่มิได้จดทะเบียนที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทย ที่รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุ เบกษา ให้เป็นผู้ที่ต้องจัดทำบัญชี
ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี
- วันเริ่มทำบัญชี (ม.9)
- ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน/บ จ./บ ม จ. เริ่มทำบัญชีวันที่ได้รับการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล
- นิติฯ ต ป ท.ประกอบธุรกิจในไทย เริ่มทำบัญชีวันที่เริ่มต้นประกอบธุรกิจในไทย
- กิจการร่วมค้าฯ เริ่มทำบัญชีวันที่เริ่มต้นประกอบกิจการ
- ปิดบัญชีทุกรอบ 12 เดือน
หน้าที่ผู้จัดทำบัญชี
- ให้มีการทำบัญชี (ม. 7,8,9,10,11)
- ส่งมอบเอกสารให้ทำให้ถูกต้องครบถ้วน (ม.12)
- เก็บรักษาบัญชีและเอกสาร (ม.14,18) การส่งมอบบัญชีเมื่อเลิกกิจการ (ม.17)
- บัญชีเอกสารสูญหาย (ม.15,16)
- ควบคุมดูแลผู้ทำบัญชี (คุณสมบัติ ม. 7) (ทำถูกต้อง ม.12)
- หน้าที่ผู้จัดทำบัญชี-ให้มีการทำบัญชี
- บัญชีต้องมีรายการตามกฎหมาย (ชนิด/ข้อความ/เวลา/เอกสาร) (ม.7) (ประกาศกรมทะเบียนการค้า 19/6/44)
- ทำตามมาตรฐานการบัญชี (ม.12)(ประกาศ ก บ ช. ฉ.42 gd28.12.43 ม ฐ.28 ฉบับ ตีความ 4 เรื่อง แม่บท 1 ฉบับ/#47gd.11.11.45 ยกเว้น ม ฐ.7ฉบับ/#48gd.20.12.45 ม ฐ.2ฉบับ)
- จัดทำงบการเงิน ได้แก่งบดุล งบกำไรขาดทุน งบกำไรสะสม งบกระแสเงินสด งบแสดงการเปลี่ยนแปลงส่วนของผู้ถือหุ้น งบประกอบหรือหมายเหตุประกอบงบ (ม.4,11)(ประกาศกรมทะเบียนการค้า 14/9/44)
ประกาศกรมทะเบียนการค้า-ชนิดบัญชีที่ต้องจัดทำ
- บัญชีรายวัน (บัญชีเงินสด/ธนาคารแต่ละเลขบัญชีธนาคาร/รายวันซื้อ/รายวันขาย/รายวันทั่วไป)
- บัญชีแยกประเภท(สินทรัพย์ หนี้สินและทุน/รายได้และค่าใช้จ่าย/ลูกหนี้/เจ้าหนี้)
- บัญชีสินค้า
- บัญชีรายวัน บัญชีแยกประเภทอื่น/ย่อยตามจำเป็น
ประกาศกรมทะเบียนการค้า ข้อความและรายการที่ต้องมีในบัญชี
- ปกด้านหน้าของสมุดบัญชี
- ชื่อนิติบุคคล/ชื่อทางการค้า(กรณีไม่ใช่นิติบุคคล)
- ชนิดของบัญชี
- ลำดับเล่มบัญชีแต่ละชนิด เรียงลำดับต่อเนื่อง เลขไทย/อารบิค
- บัญชีรายวัน/แยกประเภท/สินค้า ต้องมีรายการ
- ชื่อบัญชี วดป. เลขที่เอกสารหรือหน้าบัญชีหรือรหัสอ้างอิง รายการ จำนวนเงิน
- หน้าบัญชี เรียงลำดับทุกหน้า เลขไทย/อารบิค
- รายการจำนวนเงิน ต้องเป็นหน่วยเงินตราไทย
- บัญชีเงินสด/ธนาคาร มีรายละเอียดการได้มาจ่ายไป
- บัญชีรายวันซื้อ/รายวันขาย มีรายละเอียด ชนิด ประเภท จำนวนและราคาของสินค้า/บริการ
- บัญชีรายวันทั่วไป มีคำอธิบายรายการบัญชี
- บัญชีแยกประเภทสินทรัพย์ หนี้สินและทุน มีรายละเอียดการเพิ่ม/ลด อ้างอิงชนิด บ/ช และหน้า บ/ช หรือรหัสอ้างอิง
- บัญชีแยกประเภทรายได้และค่าใช้จ่าย มีรายละเอียดที่มา อ้างอิงชนิด บ/ช และหน้า บ/ช หรือรหัสอ้างอิง
- บัญชีแยกประเภทลูกหนี้/เจ้าหนี้ มีชื่อลูกหนี้/เจ้าหนี้ รายละเอียดก่อหนี้/ระงับหนี้ อ้างอิงชนิด บ/ช และหน้า บ/ช หรือรหัสอ้างอิง
- บัญชีสินค้า ให้มี ชื่อ ชนิด จำนวน หน่วยนับ รายละเอียดการได้มา/จ่ายไป
ประกาศกรมทะเบียนการค้า ระยะเวลาที่ต้องลงรายการในบัญชี
- บัญชีรายวัน ลงภายใน 15 วัน นับแต่วันที่รายการนั้นเกิดขึ้น
- บัญชีแยกประเภท (มาจากรายวัน) ลงภายใน 15 วัน นับแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่รายการนั้นเกิดขึ้น ยอดคงเหลือต้องลงรายการภายใน 60 วันนับแต่วันปิดบัญชี
- บัญชีสินค้า ลงภายใน 15 วัน นับแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่รายการนั้นเกิดขึ้น ยอดคงเหลือต้องลงรายการภายใน 60 วันนับแต่วันปิดบัญชี
ประกาศ ก.บช. เรื่อง มาตรฐานการบัญชี
- ประกาศฉบับที่ 42 มีมาตรฐาน 29 ฉบับ ตีความตามมาตรฐาน จำนวน 4 เรื่อง (ประกาศราชกิจจานุ เ บก ษา28 ธันวาคม 2543)
- ประกาศฉบับที่ 46 แก้ไขวันบังคับใช้ย่อหน้า 38 ของมาตรฐาน 32 เริ่มใช้ปี 2550 (โอนส่วนเกินตีราคาไปกำไรสะสมไม่ใช่กำไรขาดทุน) (ประกาศราชกิจจานุเบก ษา 1 พฤษภาคม 2545)
- ประกาศฉบับที่ 47 การยกเว้นการบังคับใช้มาตรฐาน 7 ฉบับสำหรับบริษัทที่ไม่ใช่บริษัทมหาชน (ประกาศราชกิจจานุเบกษา 11 พฤศจิกายน 2545)
- ประกาศฉบับที่ 48 ให้ใช้มาตรฐาน 2 ฉบับ คือมาตรฐานฉบับที่ 34 และฉบับที่ 49 (ประกาศราชกิจจานุเบกษา 20 ธันวาคม 2545)
- ประกาศฉบับที่ 49 แก้ไขมาตรฐานฉบับที่ 46 เรื่องรายงานการเงินเกี่ยวกับส่วนได้เสียในการร่วมค้า (ประกาศราชกิจจานุเบกษา 28 กุมภาพันธ์ 2546)
- ประกาศฉบับที่ 50 แก้ไขมาตรฐานฉบับที่ 40 (ประกาศราชกิจจานุเบกษา 2 มิถุนายน 2546)
- ประกาศฉบับที่ 51 เรื่องการตึความมาตรฐาน เรื่องสินทรัพย์ที่โอนให้เพื่อชำระหนี้ (ประกาศ ตุลาคม 2546)
ประกาศกรมทะเบียนการค้า กำหนดรายการย่อที่ต้องมีในงบการเงิน
- ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน (ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย) ใช้แบบ 1
- บริษัทจำกัด (ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย) ใช้แบบ 2
- บริษัทมหาชนจำกัด (ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย) ใช้แบบ 3
- นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทย ใช้แบบ 4
- กิจการร่วมค้าตามประมวลรัษฎากร ใช้แบบ 5
ประกาศกรมทะเบียนการค้า หลักเกณฑ์และวิธีการในการยื่นงบการเงิน
- กำหนดเวลายื่น
- ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล ห้างหุ้นส่วนจำกัด นิติบุคคลต่างประเทศประกอบธุรกิจในไทย ยื่นภายใน 5 เดือนนับแต่วันปิดบัญชี
- บริษัทจำกัด บริษัทมหาชนจำกัด ยื่นภายใน 1 เดือนนับแต่วันที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่ ซึ่งต้องประชุมภายใน 4 เดือนนับแต่วันปิดบัญชี
- การแจ้งรายชื่อธุรกิจของผู้สอบบัญชี
- เอกสารที่ต้องยื่น
- ส บ ช. 3 จำนวน 3 ชุด (ผู้ทำบัญชี/ผู้มีอำนาจทำการแทน)
- งบการเงิน ที่มีผู้สอบบัญชีรับอนุญาตรับรอง จำนวน 2 ชุด (ผู้มีอำนาจลงชื่อทุกหน้า)(หน้างบดุล งบการเงินได้รับอนุมัติจากประชุมผู้ถือหุ้นครั้ง…วันที่..)
- บ อ จ. 5 วันประชุมใหญ่อนุมัติงบ จำนวน 1 ชุด (บจ. ภายใน 14 วันนับแต่วันประชุมใหญ่) (บ ม จ. ภายใน 1 เดือนนับแต่วันประชุม)
- สำเนารายงานการประชุมเฉพาะที่อนุมัติงบ จ่ายปันผล จำนวน 1 ชุด (กรณีเป็นบริษัทมหาชนจำกัด)
- รายงานประจำปี จำนวน 1 ชุด (กรณีเป็นบริษัทมหาชนจำกัด)
- การส่งรายงานประจำปีและยื่นบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นบริษัทมหาชนจำกัดในรูปแบบข้อมูลอีเล็กทรอนิกส์ ให้ทำหนังสือนำส่งพร้อมรับรองความถูกต้องของข้อมูลโดยผู้มีอำนาจทำการแทนและประทับตรา จำนวน 1 ชุด และอย่างน้อยหนึ่งคนลงชื่อกำกับไว้ในแผ่นข้อมูล
- งบการเงินของห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนที่ไม่ต้องมีผู้สอบบัญชีรับอนุญาตรับรอง (แต่ส่งสรรพากรยังคงต้องมีผู้สอบบัญชีภาษีอากร) ถ้า
- ทุนไม่เกิน ห้าล้านบาท
- สินทรัพย์รวมไม่เกิน สามสิบล้านบาท
- รายได้รวมไม่เกิน สามสิบล้านบาท
หน้าที่ของผู้จัดทำบัญชี – เอกสารหลักฐานบัญชี
- ส่งมอบเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีให้ถูกต้องครบถ้วน (ม.12)
- ให้บัญชีที่จัดทำแสดงตามความเป็นจริง และ ตามมาตรฐานการบัญชี (ม.12)
- หลักฐานเอกสารประกอบการลงบัญชีตามประกาศกรมทะเบียนการค้าถ้าออกให้คนภายนอกอย่างน้อยต้องมีสำเนา1 ฉบับ
- การลงบัญชีรายวันและบัญชีสินค้า ต้องมีเอกสารประกอบทุกรายการ และให้ใช้เอกสารเรียงลำดับจาก “นอกเข้าใน” “ในออกนอก” และ “ในใช้เอง”
ประกาศกรมทะเบียนการค้า เอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชี
เอกสารที่ต้องใช้ ได้แก่ บันทึก หนังสือ เอกสารใด ๆ
- เอกสารจากภายนอก เช่น ใบสั่งซื้อของลูกค้า ใบเสร็จรับเงินจากผู้ขาย ใบกำกับภาษีจากผู้ขาย ฯลฯ
- เอกสารภายในส่งให้บุคคลภายนอก เช่นใบสั่งซื้อของบริษัท ใบเสร็จรับเงินของบริษัท ใบกำกับภาษีของบริษัท ฯลฯ
- เอกสารภายในทำขึ้นใช้เอง เช่น ใบสำคัญรับเงิน ใบสำคัญจ่ายเงิน ใบรายงานการตรวจนับสินค้า ใบเบิกสินค้า ฯลฯ
เอกสารทุกประเภท ต้องมีรายการตามที่กำหนดทุกข้อ
- ชื่อของผู้จัดทำเอกสาร (ชื่อที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ)
- ชื่อของเอกสาร
- เลขที่ของเอกสาร และเล่มที่ (ถ้ามี)
- วัน เดือน ปี ที่ออกเอกสาร
- จำนวนเงินรวม
เอกสารในการรับเงิน/รับฝากเงิน/รับชำระเงิน-ตั๋วเงิน ต้องมีรายการเพิ่มดังนี้
- เลขประจำตัวผู้เสียภาษีของกิจการที่ทำเอกสาร
- สถานที่ตั้งของกิจการที่ทำเอกสาร
- รายละเอียดเกี่ยวกับการรับเงินหรือตั๋วเงิน
- ชื่อ ชนิด จำนวน หน่วยนับ ราคาต่อหน่วย และราคารวมของสินค้าหรือบริการแต่ละรายการ เว้นแต่มีการระบุรายละเอียดไว้ต่างหาก
- ลายมือชื่อผู้รับเงิน/ตั๋วเงิน เว้นแต่เอกสารที่ทำและส่งมอบด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์
เอกสารหลักฐานในการจำหน่าย จ่าย โอน ส่งมอบสินค้า/บริการ เพิ่ม
- เลขประจำตัวผู้เสียภาษีของกิจการที่ทำเอกสาร
- สถานที่ตั้งของกิจการที่ทำเอกสาร
- รายละเอียดเกี่ยวกับการรับเงินหรือตั๋วเงิน
- ชื่อ ชนิด จำนวน หน่วยนับ ราคาต่อหน่วย และราคารวมของสินค้าหรือบริการแต่ละรายการ
- ชื่อ ที่อยู่ ของผู้ซื้อ/ผู้รับสินค้า/ผู้รับบริการ
- ลายมือชื่อผู้จัดทำเอกสาร
- ลายมือชื่อผู้รับสินค้า/ผู้รับบริการ
เอกสารจัดทำเพื่อใช้ในกิจการ ต้องเพิ่ม
- คำอธิบายรายการ
- วิธีการและการคำนวณต่าง ๆ
- ลายมือชื่อผู้อนุมัติรายการ โดย “ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี” หรือ “ผู้ที่ได้รับมอบหมาย”
หน้าที่ของผู้จัดทำบัญชี – การเก็บรักษาบัญชีและเอกสาร
- กรณีปกติ ต้องเก็บรักษาบัญชีและเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีไว้ ไม่น้อยกว่า ห้าปี นับแต่วันปิดบัญชี (ม. 14)
- กรณีเลิกกิจการ ต้องเก็บไว้จนกว่าจะส่งมอบให้สารวัตรบัญชีและสารวัตรบัญชีเก็บไว้อีกอย่างน้อย ห้าปี (ส่งมอบภายใน 90 วัน ขยายได้ไม่เกิน 180 วัน) (ม. 17)
- กรณีถูกตรวจสอบ อธิบดีมีอำนาจกำหนดให้เก็บเกิน ห้าปี แต่ไม่เกิน เจ็ดปี (ม. 14)
สถานที่เก็บรักษา บัญชีและเอกสาร (ม. 13 )
- สถานที่ทำการ
- สถานที่ที่ใช้เป็นที่ทำการผลิต
- สถานที่ที่ใช้เป็นที่เก็บสินค้าเป็นประจำ
- สถานที่ที่ใช้เป็นที่ทำงานเป็นประจำ
- สถานที่ที่มีการเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ไปยังสถานที่ข้างต้น
- สถานที่อื่น ๆ ต้องขออนุญาตสารวัตรบัญชีก่อน ใช้แบบ ส.บช. 1 (ถ้าย้ายกลับ/มีกำหนดเวลา ก็ต้องแจ้งภายใน 15 วันที่มีการเปลี่ยนแปลงทุกครั้ง)
หน้าที่ของผู้จัดทำบัญชี – บัญชีและเอกสารสูญหาย
- บัญชี หรือ เอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชี สูญหาย หรือเสียหาย ผู้จัดทำบัญชี ต้องแจ้งต่อสารวัตรบัญชีภายใน 15 วันนับแต่ วันที่ทราบ หรือ วันที่ควรทราบ (ม. 15)
- ใช้แบบ ส. บช. 2 พร้อมหลักฐานผู้จัดทำบัญชี ภาพถ่ายที่เกิดเหตุ (กรณีเสียหาย) หลักฐานที่แสดงว่าสูญหาย/เสียหายจริง
- ถ้าสารวัตรบัญชีพบว่า มิได้เก็บไว้ในที่ปลอดภัย ให้สันนิษฐานว่ามีเจตนาทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น ทำให้สูญหาย ทำให้ไร้ประโยชน์ (ม. 16)
หน้าที่ของผู้จัดทำบัญชี – ให้มีผู้ทำบัญชี
- ม. 19 ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี
- ต้องจัดให้มีผู้ทำบัญชีซึ่งเป็นผู้มีคุณสมบัติตามที่อธิบดีกำหนด
- ต้องควบคุมดูแลผู้ทำบัญชีให้จัดทำบัญชีให้ตรงต่อความเป็นจริงและถูกต้อง
- ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีที่เป็นบุคคลธรรมดา จะเป็นผู้ทำบัญชี สำหรับกิจการของตนเองก็ได้
- มาตรา 20 “ผู้ทำบัญชีต้องจัด ทำบัญชี เพื่อให้มีการแสดงผลการดำเนินงาน ฐานะการเงิน หรือการเปลี่ยนแปลงฐานะการเงินของผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี ที่เป็นอยู่ตามความเป็นจริงและตามมาตรฐานการบัญชี โดยมีเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีให้ถูกต้องครบถ้วน”
- การลงรายการในบัญชี ต้องลงเป็นภาษาไทย ถ้าลงเป็นภาษาต่างประเทศต้องมีภาษาไทยกำกับ ถ้าลงรายการเป็นรหัสบัญชีต้องมีคู่มือคำแปลเป็นภาษาไทย จะลงโดยเขียน พิมพ์หรือวิธีใดก็ได้ (มาตรา 21)
ผู้ทำบัญชี
- ลักษณะการปฏิบัติงานทำบัญชี
- คุณสมบัติผู้ทำบัญชี
- หน้าที่ความรับผิดชอบในการทำบัญชี
- หน้าที่เข้าอบรมพัฒนาวิชาชีพต่อเนื่อง
ผู้ทำบัญชี – ลักษณะการปฏิบัติงานทำบัญชี
- พนักงานของผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี ผู้ทำบัญชีคือ ผู้อำนวยการฝ่ายบัญชี/สมุห์บัญชี/หัวหน้าแผนกบัญชี/เรียกอย่างอื่นแต่มีหน้าที่รับผิดชอบเช่นเดียวกับผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว
- สำนักงานบริการรับทำบัญชี ผู้ทำบัญชีคือ หัวหน้าสำนักงาน /ผู้เป็นหุ้นส่วนที่รับผิดชอบในการให้บริการรับทำบัญชีของคณะบุคคล / กรรมการหรือผู้เป็นหุ้นส่วนที่รับผิดชอบของนิติบุคคล
- บุคคลธรรมดาผู้รับจ้างทำบัญชีอิสระ
- ผู้ช่วยผู้ทำบัญชี กรณีที่ผู้ทำบัญชี รับทำบัญชีเกินกว่า 100 ราย ต้องมีผู้ช่วย 1 คน เศษของหนึ่งร้อยถ้าเกินห้าสิบให้นับเป็นหนึ่งร้อย
- บุคคลอื่นที่รับผิดชอบในการทำบัญชีของผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี
ผู้ทำบัญชี – คุณสมบัติของผู้ทำบัญชี
- มีภูมิลำเนาในราชอาณาจักร
- มีความรู้ภาษาไทย
- ไม่เคยต้องโทษจำคุกในความผิดตามกฎหมายบัญชี/สอบบัญชี เว้นแต่พ้นโทษมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี
- คุณวุฒิการศึกษา ไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีทางการบัญชีหรือเทียบเท่า (กรณีบริษัทมีทุนไม่เกิน 5 ล้านบาท สินทรัพย์รวมไม่เกิน 30 ล้านบาท และรายได้รวมไม่เกิน 30 ล้านบาท ผู้ทำบัญชีมีคุณวุฒิไม่ต่ำกว่าอนุปริญญา หรือประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ทางการบัญชีหรือเทียบเท่า)
ผู้ทำบัญชี – หน้าที่เข้าอบรมพัฒนาวิชาชีพต่อเนื่อง
- อบรม 3 ปี 27 ชั่วโมง (เนื้อหาเกี่ยวกับบัญชีไม่น้อยกว่า 18 ชั่วโมง แต่ละปีต้องเข้ารับการอบรมพัฒนาความรู้ต่อเนื่องทางวิชาชีพไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง )
- ความรู้ที่ต้องอบรม ได้แก่ การบัญชี กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพบัญชี กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการภาษีอากร เทคโนโลยีสารสนเทศที่เกี่ยวกับวิชาชีพบัญชี เรื่องอื่น ๆ ที่อธิบดีกำหนด
- ต้องแจ้งรายละเอียดการอบรมตามแบบ ส.บช. 7 ต่ออธิบดีภายใน 60 วันนับแต่วันสิ้นปีปฏิทินของทุกปี (ภายในมีนาคมของทุกปี)
บทกำหนดโทษตามพ.ร.บ. การบัญชี 2543
- มาตรา 27 ผู้ใดฝ่าฝืน ม.7(1)(2)(3)(4) ปรับไม่เกิน 10,000 บาท และวันละ 500 บาทจนกว่าจะทำถูกต้อง (ถ้าเสียค่าปรับแล้วให้คดีเลิกกัน)
- ม.7(1) ชนิดของบัญชีที่ต้องจัดทำ
- ม.7(2) ข้อความและรายการที่ต้องมีในบัญชี
- ม.7(3) ระยะเวลาที่ต้องลงรายการในบัญชี
- ม.7(4) เอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชี
- ฝ่าฝืน ม.7(6) ปรับไม่เกิน 10,000 บาท
- ม.7(6) คุณสมบัติและเงื่อนไขผู้ทำบัญชี
- มาตรา 28 ผู้จัดทำบัญชี ไม่ให้ทำบัญชีตามม. 8 , ม. 9 ปรับไม่เกิน 30,000 บาท และวันละ 1,000 บาทจนกว่าจะทำถูกต้อง (ถ้าเสียค่าปรับแล้วให้คดีเลิกกัน)
- ม.8 – ให้มีการทำบัญชี
- มีสถานประกอบธุรกิจหลายแห่ง แต่ละแห่งให้มีผู้ทำบัญชี
- บุคคลธรรมดาตามประกาศให้ทำบัญชีต้องมีผู้ทำบัญชี
- ม.9 – ให้มีการทำบัญชีเริ่มจากจดทะเบียนนิติบุคคล
- ตปท./ร่วมค้า เริ่มเมื่อประกอบกิจการ
- ม.8 – ให้มีการทำบัญชี
- มาตรา 29 ผู้จัดทำบัญชี ไม่ปฎิบัติตาม ม10, 12, 19 ปรับไม่เกิน 10,000 บาท (ถ้าเสียค่าปรับแล้วให้คดีเลิกกัน)
- ม.10 – ปิดบัญชีทุก 12 เดือน
- ม.12 – ส่งมอบเอกสารให้ผู้ทำให้ถูกต้องครบถ้วนเป็นจริง
- ม.19 – ต้องให้มีผู้ทำบัญชีที่มีคุณสมบัติตามก/ม
- มาตรา 30 ผู้จัดทำบัญชีไม่ปฎิบัติตาม ม.11 วรรคหนึ่ง ปรับไม่เกิน 50,000 บาท (ถ้าเสียค่าปรับแล้วให้คดีเลิกกัน)
- ม.11 วรรคหนึ่ง- หหส. จดทะเบียน/นิติ ตปท./ร่วมค้า
- ทำงบยื่นกบช. ภายใน 5 เดือนจากปิดงบ
- – บริษัทจำกัด/บริษัทมหาชน
- ทำงบยื่นกบช. ภายใน 1 เดือนจากได้รับ อนุมัติจากที่ประชุมใหญ่
- มาตรา 31 ผู้จัดทำบัญชีไม่ปฎิบัติตาม ม.11 วรรคสาม ม.13,14,15,17 ปรับไม่เกิน 5,000 บาท (ถ้าเสียค่าปรับแล้วให้คดีเลิกกัน)
- ม.11 วรรคสาม งบการเงินต้องมีรายการย่อตามกำหนด
- ม.13 ต้องเก็บรักษาบัญชี ณ สถานที่ทำการ เว้นแต่ขออนุญาต
- ม.14 ต้องเก็บรักษาบัญชี ไม่น้อยกว่า 5 ปี (อธิบดีมีอำนาจให้ เก็บไม่เกิน 7 ปีกรณีตรวจสอบ)
- ม.17 เลิกโดยไม่ชำระบัญชี ให้ส่งมอบบัญชีภายใน 90 วันสารวัตรบัญชีเก็บไว้อีก ไม่น้อยกว่า 5 ปี
- มาตรา 32 ผู้จัดทำบัญชี ไม่ปฎิบัติตาม ม.11 วรรคสี่ ปรับไม่เกิน 20,000 บาท (ถ้าเสียค่าปรับแล้วให้คดีเลิกกัน)
- ม.11 วรรคสี่ งบการเงินต้องมีการตรวจสอบและรับรองโดย ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต เว้นแต่งบของ หหส.จดทะเบียน ที่
- มีทุนไม่เกิน 5 ล้านบาท
- มีสินทรัพย์รวมไม่เกิน 30 ล้านบาท
- มีรายได้รวมไม่เกิน 30 ล้านบาท
- ไม่ต้องมีผู้สอบบัญชีรับอนุญาต แต่ต้องมี Tax Auditor
- มาตรา 33 ผู้จัดทำบัญชีแจ้งเท็จกรณีบัญชีสูญหาย หรือเสียหาย ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 6 เดือนหรือทั้งจำทั้งปรับ
- มาตรา 34 ผู้ใดไม่ปฎิบัติตามม. 20 ปรับไม่เกิน 10,000 บาท (ถ้าเสียค่าปรับแล้วให้คดีเลิกกัน)
- ม.20 ผู้ทำบัญชีต้องทำบัญชีและปิดงบตามความเป็นจริง และตามมาตรฐานการบัญชี โดยมีเอกสารประกอบให้ถูกต้องครบถ้วน
- มาตรา 35 ผู้ใด ไม่ปฎิบัติตามม. 21 ปรับไม่เกิน 5,000 บาท(ถ้าเสียค่าปรับแล้วให้คดีเลิกกัน)
- ม.21 ในการลงบัญชี ผู้ทำบัญชีต้องทำเป็นภาษาไทย ถ้าเป็นภาษาต่างประเทศต้องมีภาษาไทยกำกับ หรือลงรายการเป็นรหัสบัญชีก็ให้มีคู่มือแปลรหัสเป็นภาษาไทย จะเขียน ตีพิมพ์ พิมพ์ดีด ก็ได้
- มาตรา 36 ผู้ใดขัดขวางสารวัตรบัญชี ที่จะเข้าไปตรวจ/ค้น/ยึด/อายัด ปรับไม่เกิน 20,000 บาทหรือจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ
- มาตรา 36 ;วรรคสอง ถ้าไม่อำนวยความสะดวกในการเข้าไปตรวจหรือไม่มาให้ถ้อยคำหรือไม่ส่งเอกสารตามสั่ง ปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ (ถ้าเสียค่าปรับแล้วให้คดีเลิกกัน)
- มาตรา 37 ผู้ใด เปิดเผยข้อความที่ทราบจากการปฎิบัติการตรวจค้น/ยึด/อายัด/ให้ถ้อยคำ (เว้นแต่จะมีอำนาจทำได้ตามก/ม) ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 6 เดือนหรือทั้งจำทั้งปรับ
- สารวัตรบัญชี/เจ้าพนักงาน ทำผิดข้างต้น ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 1 ปีหรือทั้งจำทั้งปรับ
- มาตรา 38 ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น ทำให้สูญหาย ทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 1 ปีหรือทั้งจำทั้งปรับ
- ผู้จัดทำบัญชี เป็นผู้ทำผิดข้างต้น ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ
- มาตรา 39 ผู้ใดลงรายการเท็จ แก้ไข ละเว้นการลงรายการในบัญชี/งบการเงิน แก้ไขเอกสารที่ใช้ประกอบการลงบัญชีให้ผิดความจริง ปรับไม่เกิน 40,000 บาทหรือจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ
- ผู้จัดทำบัญชี เป็นผู้ทำผิดข้างต้น ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ
- มาตรา 40 นิติบุคคล/กก.ผู้จัดการ/ห ส.ผู้จัดการ/ผู้แทนนิติฯบุคคลใดที่รับผิดชอบในการดำเนินการของนิติฯ ผู้จัดทำบัญชี ต้องรับผิดตามความผิดด้วยเว้นแต่จะพิสูจน์ว่าไม่มีส่วนรู้เห็นหรือยินยอมในการทำผิด
- ตามก/ม ผู้จัดทำบัญชี คือ
- ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน
- บริษัทจำกัด
- บริษัทมหาชน
- นิติบุคคลต่างประเทศทำธุรกิจในไทย
- กิจการร่วมค้าตามประมวลรัษฎากร
ความผิดกรณีผู้ทำบัญชีไม่ใช่ผู้ทำบัญชีตามกฎหมาย
- พระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ.2547 ความผิดกรณีผู้ทำบัญชีไม่ใช่ผู้ทำบัญชีตามกฎหมาย
- ม. 44 ห้ามมิให้ผู้ใดประกอบวิชาชีพเป็นผู้ทำบัญชี เว้นแต่เป็นสมาชิกสภาวิชาชีพบัญชี หรือขึ้นทะเบียนไว้กับสภาวิชาชีพบัญชี
- หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขึ้นทะเบียนตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามข้อบังคับสภาวิชาชีพบัญชี
- ม.69 ผู้ใด ฝ่าฝืน ม. 44 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ความผิดทั้งทางแพ่งและทางอาญากรณีลงบัญชีไม่ถูกต้อง
- ความผิดถ้าลงบัญชีโดยไม่มีหลักฐาน หรือหลักฐานไม่ถูกต้อง เป็นเท็จ หรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงบัญชีหรือหลักฐานในทางที่ไม่ถูกต้อง
- มีความผิดตามพ.ร.บ.การบัญชี พ.ศ. 2543
- มีความผิดตามพ.ร.บ.ความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคมและมูลนิธิ พ.ศ. 2499 แก้ไขเปลี่ยนแปลง พ.ศ. 2535
- มีความผิดตามพ.ร.บ. บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535
- มีความผิดตามประมวลรัษฎากร
- ความผิดตามพ.ร.บ.ความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคมและมูลนิธิ พ.ศ. 2499 แก้ไขเปลี่ยนแปลง พ.ศ. 2535 มาตรา 42
- บุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงาน ของห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือบริษัทจำกัด กระทำ หรือยินยอมให้กระทำการดั่งต่อไปนี้
- (1) ทำให้เสียหาย ทำลาย เปลี่ยนแปลง ตัดทอน หรือปลอมบัญชี เอกสาร หรือหลักประกันของห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท หรือที่เกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท หรือ
- (2) ลงข้อความเท็จ หรือไม่ลงข้อความสำคัญในบัญชี หรือเอกสารของห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท หรือเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท
- ถ้ากระทำหรือยินยอมให้กระทำการเพื่อลวงให้ห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท ผู้เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นขาดประโยชน์อันควรได้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
- ความผิดตามพ.ร.บ. บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 216
- บุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของบริษัทใดกระทำหรือยินยอมให้กระทำการดังต่อไปนี้
- (1) ทำให้เสียหาย ทำลาย เปลี่ยนแปลง ตัดทอน หรือปลอมบัญชี เอกสาร หรือหลักประกันของบริษัท หรือที่เกี่ยวกับบริษัท หรือ
- (2) ลงข้อความเท็จ หรือไม่ลงข้อความสำคัญในบัญชีหรือเอกสารของบริษัท หรือที่เกี่ยวกับบริษัท
- ถ้ากระทำหรือยินยอมให้กระทำเพื่อลวงให้บริษัทหรือผู้ถือหุ้นขาดประโยชน์อันควรได้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1,000,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
- ความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37
- ผู้ใด
- (1) โดยรู้อยู่แล้วหรือโดยจงใจแจ้งข้อความเท็จ หรือให้ถ้อยคำเท็จ หรือตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ หรือนำพยานหลักฐานเท็จมาแสดง เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรตามลักษณะนี้ หรือ
- (2) โดยความเท็จ โดยฉ้อโกงหรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดทำนองเดียวกัน หลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรตามลักษณะนี้
- ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือนถึง 7 ปี และปรับ ตั้งแต่ 2,000 ถึง 200,000 บาท
เตรียมรับมือกับการถูกตรวจสอบอย่างไร
- ถูกตรวจสอบสภาพกิจการ (มีหนังสือนำตัว)
- เตรียมตัว : ทำตามแบบ/ตามกฎ/ทันเวลา/กระทบยอดได้/เอกสารรับจ่ายครบถ้วนถูกต้อง เช่น
- vat/stock -ปกอ19 การทำรายงานvatซื้อ/ขาย/รายงานStock
- บัญชีพิเศษ – โรงสีข้าว/ สถานพยาบาลที่มีเตียงค้างคืน/ ค้ารถยนต์เก่า/ ผู้ผลิตรับจ้างผลิตซีดี/ บัญชีพิเศษการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย/
- หนังสือแจ้งผลการตรวจสอบสภาพกิจการ : เสร็จสิ้น/หรือไม่ได้ปรับปรุงการชำระภาษีตามข้อเท็จจริงจะดำเนินการตรวจปฏิบัติการหรือออกหมายเรียก
- ถูกตรวจบัญชีจากการยื่นแบบภงด 50
- เตรียมตัว : คำนวณตามเกณฑ์ที่ระบุในมาตรา 65 มาตรา 65ทวิ มาตรา 65 ตรีรวมทั้งกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องตามประกาศต่างๆ /มีรายละเอียดประกอบและสามารถกระทบยอดได้ทุกบัญชี /มีเอกสารและหลักฐานถูกต้อง/เกี่ยวข้องกับกิจการและหากำไร/ไม่มีรายจ่ายต้องห้าม
- ตรวจพบข้อผิดพลาดด้วยตนเอง/ตรวจพบโดยเจ้าหน้าที่
- การตรวจค้น ยึด อายัด บัญชีเอกสารหลักฐาน : กรณีเชื่อว่ามีการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรหรือกรณีถึงกำหนดชำระไม่ชำระมีภาษีอากรค้าง(ยึด/อายัด/ขายทอดตลาด)
การยื่นเสียภาษีตามแบบ ตามกำหนดเวลา
- สิ่งที่กำหนดให้ยื่น เช่น แบบเสียภาษี งบดุลงบกำไรขาดทุน บัญชีพิเศษ
- วันเวลาที่ครบกำหนดต้องยื่นแบบต่าง ๆ
- ยื่นผิดยื่นใหม่
- ยื่น- ไม่ถูก/ไม่สมบูรณ์
- เตรียมพบกับ – เรียกไต่สวน+เอกสาร(ภายใน 2 ปีนับแต่วันยื่น)(ขยายได้ ไม่เกิน 5 ปี) ปรับ 1 เท่า + 1.5% ต่อเดือน
- ไม่ยื่น
- เตรียมพบกับ – เรียกไต่สวน+เอกสาร ภายใน 7 วัน (ย้อนได้ 10 ปี) ปรับ 2 เท่า + 1.5% ต่อเดือน
ประโยชน์การเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการตรวจสอบ
- ช่วยอำนวยความสะดวกในการตรวจของเจ้าหน้าที่
- ช่วยให้การตรวจสอบง่าย เนื่องจากได้มีการจัดเตรียมหลักฐาน เอกสาร อย่างถูกต้อง ครบถ้วน ตามประมวลรัษฎากร มีการจัดทำรายงานกระทบยอดแต่ละบัญชี มีรายงานการยื่นแบบต่าง ๆ อย่างเป็นระเบียบ เป็นต้น
- ช่วยลดความเสี่ยงในการถูกปรับ ถ้าปรับก็อาจเป็นเพียงความบกพร่องเล็กน้อย หรือไม่มีเจตนา ทำให้ลดค่าใช้จ่ายเบี้ยปรับ เงินเพิ่มได้
- ช่วยให้ประหยัดต้นทุนในการประกอบธุรกิจ
- ช่วยให้กิจการได้ประโยชน์ในการทำงานที่มีประสิทธิภาพ เมื่อต้องเตรียมรับการตรวจ ก็ต้องเตรียมพร้อมในความถูกต้อง ทำให้ต้องวางแผนงานธุรกิจควบคู่กันไปด้วย
โดย พรรณี วรวุฒิจงสถิต
ความเห็นล่าสุด